บุชขึ้นกล่าวบนเวทีของสถาบันจอร์จ ดับเบิลยู บุช ที่เมืองดัลลัส มลรัฐเท็กซัส สหรัฐฯ ถึงสงครามยูเครนที่รัสเซียเข้ารุกรานประเทศเพื่อนบ้านของตนเอง ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา จนเกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวยูเครนอย่างมหาศาล อย่างไรก็ดี การออกมาประณามว่าการรุกรานของรัสเซียไร้ความชอบธรรมและโหดร้ายนั้น เป็นคำพูดครั้งแรกของบุชที่ออกมาโจมตีรัสเซียในรอบเกือบสามเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่สงครามเกิดขึ้น
“วิธีที่ประเทศต่างๆ ได้จัดการเลือกตั้ง คือตัวชี้วัดว่าผู้นำของพวกเขาปฏิบัติต่อประชาชนของตนเอง และพฤติกรรมของชาติต่างๆ ต่อชาติอื่นๆ อย่างไร” บุชกล่าวชื่นชม โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครนที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อุทิศตนเองเพื่อปกป้องประเทศและประชาชนชาวยูเครนตลอดเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมา “และสิ่งนี้ไม่มีที่ไหนแสดงให้เห็นได้ชัดเจนไปกว่ายูเครนอีกแล้ว”
“ประชาชนชาวยูเครนได้เลือกตั้ง โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ผู้ที่ผมเฝ้าดูเขาในวันต่อวัน ชายร่างเล็กสุดเท่ เชอร์ชิลแห่งศตวรรษที่ 21” บุชกล่าว “เขาได้รับอำนาจมาจากความชอบธรรมผ่านการเลือกตั้ง เขาได้รับคะแนนเสียงถึง 72% และตอนนี้ เขากำลังนำประเทศของเขาอย่างกล้าหาญ ในการต่อสู้กับกองกำลังรัสเซียที่รุกรานประเทศของเขา”
อย่างไรก็ดี บุชวิจารณ์รัสเซียว่า “ในทางตรงกันข้าม การเลือกตั้งของรัสเซียมีการโกงเกิดขึ้น ขั้วตรงข้ามทางการเมืองถูกจับขังคุก หรือถูกกำจัดออกจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง” บุชวิจารณ์รัสเซียอย่างต่อเนื่องบนเวที
“ผลลัพธ์ก็คือ การขาดไปซึ่งการถ่วงดุลอำนาจในรัสเซีย และการตัดสินใจโดยคนคนเดียวในการเริ่มการุกรานที่ไม่มีความชอบธรรมและโหดร้ายต่ออิรัก” บุชกล่าวโจมตีการรุกรานอิรัก ซึ่งเกิดขึ้นในยุคสมัยและภายใต้คำสั่งของตน “ผมหมายถึงยูเครน” บุชรีบแก้คำพูดของตนเองที่ลิ้นพันกันพร้อมขำแก้เขิน “อิรักหรอ เอาล่ะ ผมอายุ 75 แล้วน่ะ” บุชแก้ตัวอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงขำของผู้คนในหอประชุม อย่างไรก็ดี มีผู้วิจารณ์ว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าขำ และบุชเองเป็น “อาชญากรสงคราม” ที่ทำให้ประชาชนชาวอิรักและทหารสหรัฐฯ เสียชีวิตรวมกันนับแสน
เมื่อปี 2546 ในช่วงของการเป็นประธานาธิบดีของบุช อดีตประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันได้นำกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรของตนเข้ารุกรานอิรัก เพื่อล้มอำนาจของรัฐบาลเผด็จการชื่อก้องโลกอย่าง ซัดดัม ฮุสเซน หลังจากไม่ผ่านมติการรับรองโดยสหประชาชาติ โดยบุชใช้ข้ออ้างในการรุกรานอิรักว่า อิรักมีอาวุธชีวภาพและอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งนี้ โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ที่เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรซึ่งส่งกองทัพของตนเข้ารุกรานอิรักพร้อมสหรัฐฯ ได้เคยออกมายอมรับว่า การรุกรานในครั้งนั้นเป็นความผิดพลาดของโลกตะวันตก
อย่างไรก็ดี คำกล่าวอ้างของสหรัฐฯ ในตอนนั้นไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันว่าเป็นความจริง และยังไม่มีการพบว่าอิรักมีอาวุชีวภาพหรืออาวุธเคมีจริงตามคำกล่าวอ้างของสหรัฐฯ มาจนถึงปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ดี ซัดดัมถูกล้มลงจากอำนาจ และถูกประหารด้วยการแขวนคอในปี 2549 ถึงแม้ว่าเผด็จการที่โหดร้ายของอิรักจะถูกล้มลง แต่อิรักกลับเข้าสู่ภาวะสูญญากาศทางการเมือง อีกทั้งเกิดสงครามกลางเมืองและกลุ่มก่อการร้ายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ความขัดแย้งกลายเป็นไฟลามทุ่งไปทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง
มีรายงานเปิดเผยว่า การรุกรานอิรักโดยชาติตะวันตกที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำการเข้ารบ มีการใช้วิธีโหดร้ายในการทำสงครามโจมตีล่วงหน้าใส่อิรัก ส่งผลให้มีพลเรือนชาวอิรักเสียชีวิตกว่าหลายหมื่นราย รวมถึงกองกำลังของสหรัฐฯ เองที่เสียทหารไปกว่า 4,000 นาย จากรายงานระบุว่า ตลอดการรุกรานตั้งแต่ปี 2546-2556 มีพลเรือนอิรักเสียชีวิตไปราว 122,438 ราย โดยมีการคาดการณ์ว่าตัวเลขอาจพุ่งสูงถึง 200,000 ราย
อย่างไรก็ดี มีคอลัมนิสต์กล่าวแซวบุชว่า “ใช้เวลากว่า 20 ปี กว่า จอร์จ ดับเบิลยู บุช จะออกมาสารภาพ” ทั้งนี้ สถาบันจอร์จ ดับเบิลยู บุช ยังคงไม่ได้ออกมาให้ความเห็นต่ออาการลิ้นพันกันของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สั่งการให้เกิดการรุกรานอิรักขึ้นเมื่อสองทศวรรษก่อนแต่อย่างใด
ที่มา:
https://www.independent.co.uk/news/world/europe/george-bush-ukraine-putin-iraq-war-b2082425.html
https://www.washingtonpost.com/politics/2022/05/19/george-bush-iraq-ukraine-war-speech/