เศรษฐา ระบุกับ Bloomberg ว่า พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นพรรคที่มีคะแนนความนิยมนำ ในการสำรวจก่อนการเลือกตั้ง ยืนยันว่าพรรคจะไม่จัดตั้งรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรกับพรรคอนุรักษนิยมที่มีทหารหนุนหลัง ซึ่งนำโดยอดีตผู้นำรัฐประหาร
การแย่งชิงอำนาจในประเทศไทยกำลังทวีความรุนแรงขึ้น ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค. ซึ่งผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมากกว่า 52 ล้านคน และประชาชนจะได้เลือกสมาชิกรัฐสภา 500 คนเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ความเห็นของเศรษฐาที่มีต่อ Bloomberg ช่วยหยุดการคาดเดาเกี่ยวกับการจับมือตั้งรัฐบาลที่ไม่น่าเป็นไปได้ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งถูกมองว่าเป็นหนทางที่จะบรรเทาความขัดแย้งที่ยาวนานหลายทศวรรษ ระหว่างผู้สนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกลุ่มอนุรักษ์นิยมห้อยโหนสถาบันฯ
“เราจะเป็นพรรคหลักที่จะจัดตั้งรัฐบาลผสม หากไม่ใช่พรรคเดียว” เศรษฐากล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ที่กรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24 เม.ย.) “หากเราชนะที่ 200 ที่นั่ง แสดงว่าเราต้องร่วมมือกับคนอื่นๆ ที่มีความเชื่อและนโยบายเดียวกัน ใครจะเข้ามาร่วมงานกับเราก็ต้องมีหลักการหรือปรัชญาเดียวกันด้วย” เศรษฐาย้ำ ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายคว้าเก้าอี้ในรัฐสภาจำนวน 310 ที่นั่ง มากกว่าการเลือกตั้งครั้งก่อนเมื่อปี 2562 ขึ้นถึง 136 ที่นั่ง
Bloomberg รายงานว่า พรรคเพื่อไทย ซึ่งสร้างแคมเปญหาเสียงเลือกตั้ง โดยใช้มาตรการกระตุ้นรายได้ครัวเรือนเพื่อชดเชยหนี้ที่พุ่งสูง และการอัดฉีดเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กำลังจะได้รับคะแนนเสียงเกือบ 50% ตามการสำรวจความคิดเห็นหลายสำนัก โดยพรรคมีข้อเสนอนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลเป็นเรือธง ซึ่งจะให้เงิน 10,000 บาทแก่คนไทยทุกคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป คิดเป็นมูลค่ารวมที่ 5.6 แสนล้านบาท นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังสัญญาว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 70% และประกันรายได้ครัวเรือน 20,000 บาทต่อเดือน หากได้รับเลือกให้ขึ้นสู่อำนาจ รวมถึงการมอบคำสัญญาว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะเพิ่มรายได้ภาคการเกษตรขึ้น 3 เท่าและเพิ่มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยต่อปีเป็น 5%
Bloomberg รายงานต่อไปว่า พรรคการเมืองต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับทักษิณ ได้รับที่นั่งมากที่สุดในการเลือกตั้งทุกครั้งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา แต่กลับถูกทหารทำรัฐประหารหรือการสั่งยุบพรรค ที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่เกลียดชังนโยบายประชานิยมและฐานเสียงสนับสนุนพรรค ที่เป็นคนรากหญ้าในพื้นที่ชนบทอันกว้างใหญ่ของประเทศไทย แต่การชนะในการเลือกตั้งทั่วไปอาจไม่ได้รับประกันว่า พรรคเพื่อไทยจะมีอำนาจ เนื่องจากรัฐสภาไทยยังคงมีวุฒิสมาชิกจำนวน 250 คน ซึ่งเต็มไปด้วยพันธมิตรของสถาบันที่สนับสนุนการทหาร ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
“หลังการรัฐประหารทุกครั้ง ประเทศก็ถอยหลัง” เศรษฐากล่าวกับ Bloomberg พร้อมระบุเสริมว่า ประเทศไทยได้ล้าหลังลงจนตามก้นมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ ระหว่างช่วงการปกครองของ ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่กินเวลาเกือบทศวรรษ “ผมคิดว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อนมามากพอแล้ว และเห็นได้ชัดว่าการรัฐประหารของกองทัพได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างสิ้นเชิง”
Bloomberg รายงานเสริมว่า ทักษิณถูกโค่นลงจากอำนาจในปี 2549 ในขณะที่รัฐบาลของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวของทักษิณถูกประยุทธ์เข้าทำรัฐประหารในปี 2557 ทั้งนี้ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของทักษิณ คือบุคคลล่าสุดจากครอบครัวที่เผชิญเรื่องราวที่ผ่านมา และเธอได้กลายมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทยอีกคน ที่ได้รับความชื่นชอบจากประชาชนมากที่สุดในเวลานี้
Bloomberg ระบุว่า ถึงกระนั้น การมีเสถียรภาพของประเทศไทยตั้งแต่การทำรัฐประหารปี 2557 มักเป็นหัวข้อที่ถูกเน้นโดยฝ่ายสนับสนุนทหารและฝ่ายนิยมกษัตริย์ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาคเศรษฐกิจไทยพยายามที่จะเปลี่ยนตำแหน่งตัวเอง ให้เป็นศูนย์กลางการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และชิป ซึ่งสามารถสร้างงานนับแสนตำแหน่ง โดยรัฐบาลไทยยังมีแผนที่จะสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งเชื่อมต่อตัวเองกับจีนผ่านทางลาว
Bloomberg ชี้ว่า เศรษฐา ซึ่งลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรูอย่างแสนสิริ หลังจากทำงานในภาคเอกชนมานานกว่า 30 ปี ได้กลายเป็นหัวคะแนนสำคัญของพรรคเพื่อไทย โดยแพทองธารได้ยุติการมีส่วนร่วมในที่สาธารณะในตอนนี้ เนื่องจากการตั้งครรภ์ของเธอ
สำนักข่าวดังรายงานเสริมว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเสียงสนับสนุนจากรัฐสภาอย่างน้อย 376 คน เพื่อทัดทานกับวุฒิสภา ซึ่งจะต้องลงคะแนนร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ทั้งนี้ เศรษฐากล่าวกับ Bloomberg ว่าเขา “มั่นใจมาก” ว่าวุฒิสภาจะให้เกียรติเจตจำนงของประชาชน และไม่ขัดขวางพรรคหรือกลุ่มที่ได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎร
ในขณะที่เศรษฐาเดินทางไปทั่วประเทศไทย เพื่อปราศรัยและหาเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เศรษฐากล่าวกับ Bloomberg ว่า ความปรารถนาในการเปลี่ยนแปลงนั้นชัดเจน วาระหลักของเขาคือเชื่อมช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และบรรเทาความทุกข์ของประชาชน
“เมื่อคุณมองเข้าไปในดวงตาของพวกเขา คุณจะเห็นความสิ้นหวังที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ หนี้สินสูง รายได้ต่ำ ค่าครองชีพสูง อิสรภาพต่ำ มันเห็นได้ชัดเป็นหลักฐาน 9 ปีเป็นเวลาอันยาวนาน” เศรษฐากล่าว “ผมไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อทำลายนายทุนเพื่อทำลายคนรวย แต่ผมมาที่นี่เพื่อให้แน่ใจว่ารัฐบาลของเราสามารถลดช่องว่างทางรายได้ได้”
ที่มา: