ไม่พบผลการค้นหา
เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันวงกว้างหลัง ‘ครม.ประยุทธ์’ อัดฉีดเม็ดเงินกว่า 83,000 ล้านบาท หลังอนุมัติงบดูแลผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ-เงินบำเหน็จดำรงชีพ และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนปาล์ม-ยางพารา ทำให้มีการมองว่าเป็นการอนุมัติเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่

เพราะเป็น ‘โค้งสุดท้าย’ ของโรดแมป คสช. ที่เตรียมเข้าสู่การเลือกตั้ง ก.พ. 2562 ตามที่รัฐบาลได้ปักธงไว้

แต่อย่าลืมว่ารัฐบาลชุดนี้ ไม่ต้องเป็น ‘รัฐบาลรักษาการ’ ยังคงมีอำนาจเต็ม

เพราะในรัฐธรรมนูญ บทเฉพาะกาลได้ให้อำนาจไว้ จนกว่า ‘รัฐบาลใหม่’ จะเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน ซึ่งที่ผ่านมาหากเป็นรัฐบาลรักษาการ การจะดำเนินการบางอย่างต้องขออนุญาต กกต. ด้วย

“รัฐบาลใช้เงินมีวินัย เพราะถ้าไม่มีวินัยก็ถูกฟ้องร้อง” และ “รัฐบาลพิจารณาแล้วอะไรก็ผิดกฎหมายก็ทำไม่ได้ ถามว่ารัฐบาลจะใช้เงินส่งเดชได้อย่างไร รัฐบาลจะใช้เงินส่งเดชไม่ได้ ซึ่งกระทรวงการคลังก็คุมงบประมาณทุกอย่าง” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าว

“การออกมาตรการต่างๆ ได้ดูในข้อกฎหมายทุกฉบับทั้ง พ.ร.บ.การเงินการคลัง และการใช้จ่ายงบประมาณแล้วโดยกำหนดห้วงระยะเวลาไม่ใช่จ่ายโดยไม่มีกำหนด และยังอยู่ในกรอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ขออย่าเหมารวมว่ารัฐบาลหาเสียง เพราะที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ได้จัดทำระบบสวัสดิการมาตลอด ไม่มีรัฐบาลใดช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้มากถึง 10 ล้านคน” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าว

ประวิตร 9237.jpg

ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นำ ‘บิ๊กทหาร-ตร.’ ลงพื้นที่ภาคอีสานไปแล้ว 5 จังหวัด ได้แก่ จ.ขอนแก่น จ.อุดรธานี จ.กาฬสินธุ์ จ.ศรีสะเกษ และ จ.เลย เพื่อแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ คืนโฉนดที่ดินและทรัพย์ให้ลูกหนี้

โดยเหตุผลที่ลงพื้นที่ภาคอีสานมากเป็นพิเศษ เพราะมีลูกหนี้กว่า 6 แสนราย จากการเป็นหนี้นอกระบบทั่วประเทศ 9 แสนราย หรือเกือบ 70 % ของทั้งหมด

แต่ครั้งล่าสุดที่ จ.เลย มาในธีม ‘คืนโฉนด คืนความสุข’ จำนวน 2,012 ราย โฉนดที่ดิน 1,773 ฉบับ เนื้อที่รวม 5,800 ไร่ และทรัพย์สินอื่นๆ รวม 3,424 ล้านบาท โดยมี ‘บิ๊กโจ๊ก’พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันปราบปรามการฉ้อโกงทรัพย์สินของประชาชน เป็นผู้จัดการทีมให้เรียบร้อย

โดยที่ผ่านมาสามารถบังคับใช้กฎหมาย ไกล่เกลี่ย คืนทรัพย์สินให้กับประชาชนพร้อมกันทั่วประเทศแล้ว 5 ครั้ง มูลค่ารวม 13,736 ล้านบาท เป็นโฉนดที่ดิน 9,526 ฉบับ พื้นที่ 31,838 ไร่

ทั้งนี้ลูกหนี้ต่างยก พล.อ.ประวิตร เป็น อัศวินที่มาช่วย

ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะแปรมาเป็น ‘คะแนนนิยม’ ได้หรือไม่นั้น ต้องมารอดูกัน

ขณะเดียวกัน สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้แทนพ่อค้า-แม่ค้า ตลาดนัดจตุจักร เข้าขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่ช่วยแก้ปัญหาแผงค้า ในการลดค่าแผงรายเดือน จากเดือนละ 3,157 บาท เหลือเดือนละ 1,800 บาท ที่มีอยู่ประมาณ 10,000 แผง พร้อมปรับให้ กทม. เข้าบริหารตลาดแทนการรถไฟ 1ธ.ค.นี้ หลังตัวแทนผู้ค้ากว่า 2,000 คน ได้ยื่นหนังสือร้องรัฐบาล เมื่อ ก.ย. 2561

ทั้งหมดนี้จึงมองกันว่าเป็นการ ‘คืนความสุข ฉบับส่งท้าย คสช.’ ก่อนเข้าสู่ฤดูการหาเสียงเลือกตั้ง แม้จะไม่ต้องเป็น ‘รัฐบาลรักษาการ’ แต่ก็ควรแสดง ‘สปิริต’ เป็น ‘ต้นแบบทางการเมือง’

เพราะที่ผ่านมาย้ำเสมอว่าเข้ามา ‘ปฏิรูปประเทศ-เป็นกรรมการกลาง’ จึงไม่ควรดำเนินการที่เป็นการเอื้อต่อพรรคที่สนับสนุนรัฐบาล หรือ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาในช่วงการหาเสียง อีกทั้งการทวงสัญญา ‘ลาออก’ ของ 4 รัฐมนตรีที่มาลงสนามการเมืองด้วย

4 รัฐมนตรี ที่ไปทำพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ ในฐานะเลขาฯพรรค นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกพรรค

ว่ากันว่าจะ ‘ลาออก’ จากเก้าอี้รัฐมนตรี ช่วง พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ส.ส. ประกาศใช้ปลายเดือนธ.ค.นี้ หลัง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. บังคับใช้กลางเดือน ธ.ค.นี้

พลังประชารัฐ

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมเชิญพรรคการเมืองมาพูดคุย 7 ธ.ค.นี้ ที่ สโมสร ทบ. วิภาวดีฯ เพื่อรับฟังความเห็นและมีกฎเกณฑ์ในการ ‘ปลดล็อกพรรคการเมือง’ เพราะจะต้องมีการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคสช. และ คำสั่ง คสช. ฉบับต่างๆที่มีผลต่อการ ‘หาเสียง’ ของพรรคการเมือง

ซึ่งในที่ประชุมจะมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร ในฐานะฝ่ายความมั่นคง และ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย เพื่อตอบคำถามกับบรรดาพรรคการเมือง ซึ่งในเวลานี้ก็มีเสียงจากพรรคขั้วตรงข้ามคสช. ที่แสดงท่าทีปฏิเสธการเข้าร่วม เพราะเกรงจะถูกเหมารวมว่ายินยอมกับกติกาต่างๆ ได้

ส่วนกรอบเวลาในการหาเสียง พล.อ.ประวิตร ระบุว่า 60 วันนั้นเพียงพอแล้ว โดยเทียบกับการเลือกตั้งปี2554 ที่มีเพียง 49 วัน

“60วัน ไม่น้อย ทีตอนยิ่งลักษณ์ 49 วันเอง” พล.อ.ประวิตร กล่าว

“คิดว่าเวลา 60-70 วัน น่าจะเพียงพอแล้วในการหาเสียงหากให้หาเสียงนานก็จะยุ่ง” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ประชุมพรรคการเมือง

ระยะเวลา 2 เดือนเต็มๆ หากยึด 24 ก.พ. 2562 เป็นวันเลือกตั้ง สำหรับหลายพรรคอาจไม่เพียงพอ แต่บางพรรคอาจเพียงพอ แต่อย่าลืมว่า 4 ปีกว่าที่ผ่านมา พรรคการเมือง ‘ถูกแช่แข็ง’ ดังนั้นจึงต้องรีบเร่งลงพื้นที่ก่อนมีการ ‘ปลดล็อกพรรค’ ออกมา นับตั้งแต่ คสช. คลายล็อกพรรคให้หาสมาชิกพรรคได้ ก็ทำให้แต่ละพรรคลงพื้นที่หาสมาชิกพรรคและเปิดเวทีต่างๆขึ้นทันทีเพื่อสร้างการจดจำให้กับประชาชน

แต่หลังจาก ‘ปลดล็อกใหญ่’ และ วันเลือกตั้งออกมาชัดเจน พร้อมทั้งมีการจับเบอร์แล้ว การหาเสียงจะยิ่งดุเดือดขึ้น อีกทั้ง ‘โพล’ ก็จะยิ่งมีความชัดเจนขึ้นด้วย

ที่ผ่านมาการทำโพลของแต่ละพรรค ยึดตามระบบ ‘หัวคะแนน’ ในพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการ ‘เลือกนาย’ จึงทำให้ยังไม่มีความแม่นยำนัก ดังนั้นหาก กกต. ทำการแบ่งเขต 350 เขต เผยแพร่รูปแบบเขตและมีรายชื่อผู้สมัครส.ส.แต่ละเขตของแต่ละพรรคที่ลงไปแล้ว ก็จะยิ่งเห็นภาพโพลได้มากขึ้น เพราะระบบหัวคะแนนจะเริ่มนิ่งลงด้วย

เพื่อไทย.jpg

ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการทำโพลถึง 2 สำนัก ถึงรายชื่อที่จะเป็น นายกฯคนต่อไป ได้แก่ ‘นิด้าโพล’ ที่ชื่อของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย มาเป็นอับดับหนึ่ง 25 % เอาชนะ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้ 24 % ไป

ผ่านไปไม่กี่วัน ‘โพล ม.รังสิต’ ระบุว่า ชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นอันดับหนึ่ง ได้ไป 27 % ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ ได้อับดับที่ 2 ได้ 18 %

ดังนั้นโพลในช่วงเวลานี้ยังคงแกว่งอยู่มาก แต่ก็พอจับทางอนาคตได้บ้างว่าชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ และ คุณหญิงสุดารัตน์ ยังคงติดอันดับหนึ่งหรือสอง เพราะต่างเป็นตัวแทนของ ‘องคาพยพ’ ของ 2 ขั้ว ระหว่างเอาและไม่เอา คสช.

“สิ่งที่ได้มานั้นจะใช่หรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะผมไม่อาจหยั่งรู้จิตใจของประชาชนทุกคนได้ แต่ผลโพลไม่ใช่ความเห็นของคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งประเทศ ดังนั้นการสำรวจความเห็นของคน 1,000-2,000 คน นั้น ไม่ได้อะไร เพราะวันข้างหน้าผลโพลก็ผิดทุกครั้งไป จึงต้องไปดูเป้าหมายว่าทำโพลเพื่ออะไร จากใคร จากไหน เพราะบางครั้งการทำโพลก็มีอะไรอยู่เบื้องหลัง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

“นิด้าทำโพลแค่ 1,200 คน แต่คนทั้งประเทศมี 70 ล้านคน จะมาอิงได้ไง ตอนนายกฯได้รับความนิยมไม่เห็นเอามาคุย” พล.อ.ประวิตร กล่าว

ส่วนความเคลื่อนไหวของกองทัพ พล.อ.ประวิตร ได้สั่งการในที่ประชุมสภากลาโหมและผบ.เหล่าทัพ ให้ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาวางตัวเหมาะสมและเป็นกลาง ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของพรรคใด พร้อมดูแลความปลอดภัยในทุกพื้นที่ ให้ทุกพรรคลงพื้นที่ ทำกิจกรรมทางการเมืองเสมอภาค เท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบกฎหมาย

อีกทั้งสั่งการให้ตรวจสอบการให้ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย ทั้งข้อความ-ภาพที่มีการบิดเบือน ตัดต่อ เชื่อมโยง สร้างความเข้าใจผิดกับสังคม โดยขอให้พิจารณาตามความเหมาะสมในการ ‘ตอบโต้’ และให้ข้อมูลถูกต้อง

ถือเป็นการ ‘จัดแถวทหาร’ ไม่ให้ ‘แตกแถว’ หรือแม้แต่การใช้กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในการลงพื้นที่ไปจัดระเบียบหรือการช่วยเหลือประชาชนก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะในช่วงการเลือกตั้งอาจถูกตีความทางการเมืองได้

เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้มี ‘พรรคตัวแทน-เครือข่าย’ ของ รัฐบาล-คสช. อย่าง ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ลงสนามเลือกตั้งด้วย คำครหาต่างๆย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

แล้ว ‘นักการเมือง’ จะได้ ‘คืนความสุขเต็มๆ’ กับเขาบ้างไหม ?

ข่าวที่เกี่ยวข้อง


ปริศนา ลายพราง
164Article
0Video
39Blog