วันนี้ (14 ม.ค.) นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวถึงกรณีที่สังคมตั้งข้อสงสัยถึงนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ว่า ขณะนี้เรื่องแหวนมารดา นาฬิกายืมเพื่อน แถมเพื่อนก็ตายไปแล้ว เป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายผะอืดผะอมไปด้วยกันหมด นายกรัฐมนตรีก็ไม่สบายใจ ป.ป.ช.ก็กระอักกระอ่วนใจ สื่อมวลชนก็คาใจ คอการเมืองทั้งหลายก็ขัดอกขัดใจ รองนายกรัฐมนตรีก็หมองใจ เหตุผลก็คือ
1.คนระดับรองนายกรัฐมนตรีที่มากบารมีอย่างนี้ อับจนถึงขนาดต้องยืมนาฬิกาเพื่อนใส่เชียวหรือ
2.มันมีนาฬิกากี่เรือนกันแน่ที่เพื่อนให้ยืม ณ วันนี้โผล่มาเป็นเรือนที่ 22 แล้ว จะยืมกันมากมายอะไรขนาดนั้น
3.เพื่อนผู้ให้ยืมตายไปหมดแล้วทุกคนหรืออย่างไร และ
4.ถ้าเพื่อนตายแล้ว เพื่อนเหล่านั้นไม่มีญาติโกโหติกาที่จะรับคืนนาฬิกาหรือ หรือว่าตกลงกันไว้ก่อนตายว่าถ้าตายแล้วก็ไม่ต้องคืน
“ดูเหมือนผู้ยืมนาฬิกาจะอาภัพคนเชื่อถือ เพราะหันไปทางไหนก็ไม่มีใครสักคนที่คล้อยตามการแก้ต่างนั้น ซึ่งอดีตผู้นำจีนคนหนึ่งชื่อ เติ้งเสี่ยวผิง พูดไว้น่าฟังยิ่งว่า“อย่าเอาผลประโยชน์ชาติไปตอบแทนบุญคุณส่วนตัว” นายประสาร กล่าว
นายประสาร กล่าวอีกว่า ในสภาพที่นายกฯต้องแบกนาฬิกาเป็นเครื่องหลังที่หนักอึ้ง ขณะที่ ป.ป.ช.ก็ยากที่จะทำงานและอธิบายต่อสาธารณะ อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องเล็ก เพราะที่เห็นและเป็นอยู่ขณะนี้ มันมีผลสะเทือนทางความเชื่อถือสูงมาก หากรองนายกรัฐมนตรีจะรักษานายกฯ และประคองน้องรัก ให้ทำหน้าที่ต่อไป ไม่ลากกันไปตายหมู่
“ขณะเดียวกันก็ทำให้ ป.ป.ช.ยังมีสง่าราศีและคงความน่าเชื่อถือไว้ได้ แถมไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อขุดคุ้ยของฝ่ายการเมืองในฤดูเลือกตั้งขอเสนอว่ารองนายกรัฐมนตรีลาออกดีกว่า เป็นวิธีที่จะทำให้ทุกฝ่ายโล่งอกไปด้วยกันไปทั้งหมด” นายประสาร กล่าว
ขณะที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า การตรวจสอบการทุจริตของตน เป็นการส่งสัญญาณไม่ให้ผู้มีอำนาจเพ้อหลง โดยตนได้ยื่นเรื่องตรวจสอบ ไปแล้วไม่ต่ำว่า 30 เรื่อง แต่บทสรุปของทุกเรื่องอยู่ที่ “นาฬิกาบิ๊กป้อม” หากนายกฯสามารถชี้แจงได้ ก็จะชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลคสช. เข้ามาแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ แต่วันนี้ยังไม่มีคำตอบจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเลย และหากนาฬิกานี้ ไปอยู่ในมือนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ป่านนี้อาจจะเข้าซังเต ไปแล้วก็ได้ แต่บังเอิญนาฬิกาทั้ง 22 เรือน ซึ่งมีคนกระซิบว่ามีเป็น 100 เรือน ไม่ใช่แค่ 22 เรือน จึงเห็นว่าเรื่องนี้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความจริงใจ แต่ไปกอดอกประกาศต่อต้านคอร์รัปชั่น 9 ธันวาคม เสียเงินให้บริษัทรับทำอีเว้นท์โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น
“ในส่วนการทำงานของ ป.ป.ช.โดยเฉพาะประธานป.ป.ช.ก็เคยเป็นรองเลขาธิการรองนายกฯฝ่ายการเมือง ก็เป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งท้ายที่สุดก็นำไปสู่การเขียนกฎหมายเพื่อให้คุณสมบัติของ ป.ป.ช.ยังดำรงตำแหน่งอยู่ มีการต่ออายุจาก 7 ปี เป็น 9 ปี และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ก็ไม่ยอมยื่นตีความ ส่วนกรณีร้องไปยัง สตง. ในเรื่องของการเหมาเครื่องบินเหมาลำไปที่ฮาวาย มีเมนูไข่ปลาคาเวียร์ซึ่งสตง.บอกว่าไม่ผิด อย่างนั้นทุกราชการถ้ามีการสั่งไข่ปลาคาเวียร์มาก็ไม่ผิดเลย ดังนั้นการต่อต้านคอร์รัปชั่นและเขียนรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ก็คือเขียนให้เด็กๆ เพ้อหลง แต่คนไทยไม่ได้กินแกลบ กินหญ้า การต่อต้านคอร์รัปชั่นจะจริงจังมากน้อยเพียงใดก็ ขึ้นอยู่กับนาฬิกาของบิ๊กป้อมเท่านั้น”นายศรีสุวรรณ กล่าวในการแถลงข่าว "ผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. และการตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบประจำปีจัดโดยคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ร่วมกับ เครือข่ายภาคประชาชน ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ขณะที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอรัปชั่น (คปต.) กล่าวว่าการทำงานขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะการทำงานของป.ป.ช.ในเรื่องเครื่องบินเหมาลำ เขาไม่ได้ให้ตรวจสอบว่ามีการเหมาเครื่องบินไปฮาวายหรือไม่ เขาให้ตรวจสอบว่า ใครเป็นคนสั่งการ รวมถึงเรื่องนาฬิกาและแหวน ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันตามเพราะไม่ไว้ใจ ป.ป.ช. เรื่องนี้ถือว่าท้าทายกฎหมายมาก ไม่ใช่แค่แหวนและนาฬิกาเท่านั้น ยังมีของมีค่าอย่างอื่นอีกที่ พล.อ.ประวิตร ต้องแสดงบัญชี ถ้าเรื่องนี้ ป.ป.ช.บอกว่าไม่ผิด กฎหมายป.ป.ช.มีปัญหาและบังคับใช้ไม่ได้แล้ว แต่จะมีการเอาไปเป็นตัวอย่าง ต่อไปจะไม่มีใครแจ้งบัญชีทรัพย์สิน เพราะแม้ไม่แจ้งบัญชีก็ไม่ผิด ทั้งที่กฎหมายบอกให้แจ้งก็ต้องปฏิบัติตาม หากไม่ปฏิบัติตาม ก็เป็นการจงใจปกปิด การที่พล.อ.ประวิตร อ้างว่าเป็นเสรีภาพไม่เปิดเผยได้ อย่างนั้นถ้าจะใช้เสรีภาพนี้ก็ไม่ต้องเข้าการเมือง ไม่ต้องร่วมรัฐบาล
“ดังนั้นอย่ามาอ้าง อ้างอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น ในเมื่อปกปิดก็ต้องปกปิดให้ถึงที่สุด มาใส่โชว์ทำไม เป็นการดูถูกประชาชน และท้าทายกฎหมาย เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ นอกจากจะไม่จัดการแล้ว ยังบอกว่าจะเอาอะไรกันหนักกันหนา ยอมๆ กันบ้างได้หรือไม่ ทั้งที่ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่น นี่แหละดีแต่พูดไม่ได้มีความจริงจังต่อการต่อต้านคอร์รัปชั่น”นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวต่อว่า ที่น่าสนใจคือ นาฬิกาทั้ง 22 เรือนของ พล.อ.ประวิตร ไม่เคยแจ้งต่อป.ป.ช.แม้แต่เรือนเดียว และพล.อ.ประวิตร ไม่เคยใช้สิทธิโต้แย้งแม้แต่เรือนเดียว ส่วนเรื่องแหวนนั้นตนเอาไปยื่นป.ป.ช.อย่างต่ำ 10 วง ดังนั้นเรื่องนี้จะจบแบบลอยนวลไม่ได้ เพราะหลักฐานชัดเจนมาก และไม่ต้องไปรอคำวินิจฉัยจากป.ป.ช. หรือขึ้นศาลที่ไหน เพราะประชาชนทั้งประเทศได้พิพากษาไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออย่างเดียว พล.อ.ประวิตรจะรับผิดชอบอย่างไร หรือจะลาออก เรื่องก็ไม่จบ เพราะความผิดทางกฎหมายยังมีอยู่ รวมทั้งพล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบจะจัดการอย่างไร
“ที่น่าสังเกตคือพล.อ.ประวิตรไปแจ้งว่ามีรถยนต์ 1 คนราคา 1 แสนบาท ปกติรถราคาแพงกว่านี้ และคนอย่างพล.อ.ประวิตร นั่งรถราคาแสนบาทใครจะเชื่อ เมื่อรวมกับแหวนและนาฬิกาแล้ว มูลค่าน่าจะเกินกว่าทรัพย์สินที่รับราชการมาตลอดชีวิตบิ๊กป้อม เพราะหากรับเงินเดือนโดยไม่ใช้อะไรเลย ทรัพย์สินไม่น่าจะเกิน 35 ล้านบาท และทรัพย์สินที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. 87 ล้านบาท รวมถึงนาฬิกาหรูที่เพิ่มมาอีก 35 ล้านบาท ก็น่าจะเข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ตอนนี้อยู่ที่ว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญจะสรุปออกมาอย่างไร และภาคประชาชนจะกัดไม่ปล่อย”นายวีระกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง