เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ 2560 และจะมีผลในเดือนพฤษภาคม 2561 โดยเป็นสถานที่ตั้งแต่ 5 หน่วยขึ้นไป รวมไปถึงห้องพัก บ้าน อาคารชุด อพาร์ตเมนต์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่ประกอบกิจการหอพัก ทั้งหอพักสถานศึกษา หรือหอพักเอกชน ซึ่งเป็นหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก และโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
ในประกาศบอกให้ผู้ให้เช่าต้องทำหลักฐานการตรวจสภาพอาคารแนบท้ายสัญญาเช่า และให้ผู้เช่าเก็บเป็นหลักฐานด้วยฉบับหนึ่ง หากสัญญาสิ้นสุดลง ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันผู้เช่าทันทีภายใน 7 วัน เว้นแต่ตรวจพบว่าผู้เช่าทำความเสียหายไว้
ที่มา : ราชกิจจานุเบกษา
อีกทั้งผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าก่อนถึงกำหนดสิ้นสุดสัญญาได้ แต่ต้องแจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าของธุรกิจให้เช่าทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน และผู้เช่าต้องไม่ผิดนัดหรือค้างชำระค่าเช่า และมีเหตุจำเป็นอันสมควร
นอกจากนี้ ยังห้ามให้ผู้ประกอบธุรกิจเรียกเก็บค่าเช่าล่วงหน้าเกินกว่า 1 เดือน และห้ามกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าและน้ำประปาเกินกว่าอัตราที่ผู้ให้บริการไฟฟ้าและน้ำประปาเรียกเก็บจากผู้ประกอบการอีกด้วย
โดยเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา นายอุฬาร จิ๋วเจริญ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เปิดเผยว่า นายสำเรียง เมฆเกรียงไกร ประธานคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา สคบ. ได้ลงนามในคำสั่งประกาศกำหนดให้ธุรกิจให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาเป็นที่เรียบร้อย พร้อมทั้งได้ส่งเรื่องมายังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยในประกาศ ดังกล่าวได้กำหนดให้กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2561 เป็นต้นไป เพื่อควบคุมดูแลธุรกิจการให้เช่าห้องพักทั่วประเทศไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภค
โดยที่กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้ผู้ให้บริการต้องแสดงรายละเอียดกับการเช่าทั้งหมด รวมทั้งกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการคิดอัตราค่าบริการทั้งค่าน้ำ - ค่าไฟ ต้องอ้างอิงกับอัตราที่ผู้ให้บริการเรียกเก็บจากผู้ให้เช่าในปริมาณที่ใช้จริงในแต่ละเดือน ทั้งนี้หากมีการฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ