มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เผยแพร่แถลงการณ์ ทวงถามความคืบหน้าคดีล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในวาระครบ 1 เดือน เหตุการณ์เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต กับพวกอีก 3 คน ในพื้นที่ที่ไม่อนุญาตให้ตั้งแคมป์ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และตรวจยึดซากสัตว์ป่าคุ้มครองพร้อมอาวุธปืน กระสุน และปลอกกระสุน
โดยแถลงการณ์เรียกร้องให้ฝ่ายที่ดูแล และรับผิดชอบการดำเนินคดีโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจ เร่งรัดดำเนินการเพื่อสรุปสำนวนพร้อมความเห็นไปยังอัยการและส่งฟ้องศาลโดยเน็ว และอย่าพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการสอบสวนหาพยานวัตถุที่อาตเปลี่ยนแปลงได้
และอยากให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรัฐบาล เร่งรัดติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้กรมอุทยานฯ ตรวจสอบสำนวนคดีในชั้นอัยการอย่างรอบคอบก่อนส่งฟ้องศาลเพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนไปจากพฤติการณ์แห่งคดีที่ปรากฏชัดเชน
ทั้งนี้ทางมูลนิธิสืบฯ ยังขอให้รัฐบาล หน่วยงานภาครัฐออกมายืนเคียงข้างประชาชน เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมกันประณามผู้ที่มีเจตนาในการทำร้ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคมต่อไป
ด้านนายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบฯ กล่าวหลังจากมีการอ่านแถลงการณ์ ว่า จากแถลงการณ์ทั้งหมด 4 ข้อที่อ่านไปนั้น จะยังไม่ขอให้รัฐบาลหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติเปลี่ยนผู้ดูแลคดีนี้ เพราะตอนนี้ พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล บอกแล้วว่าคดีคืบหน้าแล้ว 80-90 % และในวันที่ 26 มี.ค. จะครบกำหนดส่งสำนวนให้อัยการได้ ในขณะที่นายเปรมชัยเองเริ่มต้นไปรายงานตัว แต่จะมีการทำไทม์ไลน์ติดตามคดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้างระหว่างนี้จนถึงวันที่ 26 มี.ค. และคาดการณ์ถึงการสิ้นสุดของคดีความดังกล่าวต่อไป
และจะติดตามรอดูว่ามีข้อหาอะไรบ้าง ถ้าหลุดข้อหาเจตนาล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยอ้างว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนยิง ทางมูลนิธิฯ รับไม่ได้ และเชื่อว่าใครก็รับไม่ได้ ซึ่งนั่นอาจถึงการเคลื่อนไหวใหญ่ได้
ทั้งนี้ นายศศิน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้มูลนิธิฯ และเครือข่ายที่ติดตามคดีจะไปยื่นแถลงการณ์นี้ถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อเร่งรัดการดำเนินคดีเป็นลำดับต่อไป
ขณะที่เวบไซต์ไทยพีบีเอสรายงานถึงความคืบหน้าของการดำเนินคดีเมื่อวันที่ 4 มี.ค.โดยระบุว่า นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชกล่าวว่า สิ่งที่พยายามหาคำตอบคือ เสือดำที่ตายเป็นตัวเดียวกันกับชิ้นเนื้อที่พบหรือไม่ ขณะนี้ทราบผลการตรวจสอบแล้ว
ล่าสุด ทีมนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า ได้รับวัตถุพยานเพิ่มเติมในคดีล่าเสือดำ เป็นคราบเลือดบนใบไม้ในจุดเกิดเหตุ มีดที่ตรวจยึดได้จากแคมป์ เพื่อพิสูจน์ดีเอ็นเอ ว่าคราบเลือดที่พบเป็นของเสือดำตัวเดียวกันกับที่ถูกชำแหละหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลาตรวจแล้วเสร็จใน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะส่งข้อมูลให้กับตำรวจเพื่อใช้ประกอบพิจารณาคดี
นายปิ่นสักก์ ยืนยันว่า แม้ว่าขณะนี้จะถูกสังคมตั้งคำถามถึงความล่าช้าของคดี และในฐานะกรมอุทยานฯ ที่รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุและตัวสัตว์ป่า ได้มีการเก็บหลักฐานหาข้อมูลและวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ โดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ จะดำเนินการอย่างรอบคอบและทำงานอย่างเต็มในการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง เชื่อว่าตำรวจก็ทำคดีอย่างดีเช่นกัน
ด้าน ดร.กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กล่าวว่า การตรวจหาคราบเลือดจากใบไม้และมีด ต้องการหาดีเอ็นเอของเสือดำ เนื่องจากเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เพิ่มน้ำหนักให้ชัดเจนว่า คณะของนายเปรมชัย สังหารเสือดำในป่าจริงหรือไม่ ประกอบกับวัตถุพยานที่ทางตำรวจเก็บไว้ ทั้งกระสุน ปืนที่ใช้ในการยิง ลายนิ้วมือ เพื่อยืนยันว่าเสือดำถูกฆ่าและชำแหละในป่าทุ่งใหญ่ ไม่ใช่ถูกนำมาจากที่อื่น ส่วนอุจจาระนายเปรมชัย จะตรวจสอบเศษชิ้นเนื้อที่เหลือและยืนยันนายเปรมชัยกินเนื้อเสือดำหรือไม่ ยอมรับว่าตรวจสอบได้ยาก แต่ทีมนิติวิทยาศาสตร์ได้หาคำตอบเพื่อทวงสิทธิ์ให้กับเสือดำ โดยใช้กระบวนการนิติวิทยาศาสตร์
ที่มา : มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง