ไม่พบผลการค้นหา
กรมสุขภาพจิต ห่วงพฤติกรรมเสพติดเซลฟี่ของประชาชน อาจทำให้เกิดอาการซึมเศร้า เนื่องจากโพสต์รูปตัวเองในโซเชียลแล้วได้รับการตอบรับน้อย กดไลค์น้อย ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง แนะสอนให้ยอมรับในความแตกต่างของคนที่ไม่เท่ากัน

นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ระบุห่วงพฤติกรรมการเซลฟี่ (selfie) ของประชาชนในสังคมออนไลน์ กำลังกลายเป็นพฤติกรรมเคยชิน ซึ่งเป็นการสื่อสารแสดงออกถึงตัวตนบุคคลโดยถ่ายรูปตนเองในอิริยาบทต่างๆแล้วแชร์ภาพ เผยแพร่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หากเซลฟี่ในลักษณะเหมาะสมคือไม่ได้หวังผลอะไร จะไม่มีผลเสีย แต่หากเซลฟี่มีความถี่มาก เพื่อให้เพื่อนๆมากดไลค์หรือเขียนข้อความแสดงความเห็นต่างๆ จนเกิดการหมกมุ่น อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจในตัวเอง

หากโพสต์รูปตัวเองไปแล้วและได้รับการตอบรับน้อย คนกดไลค์น้อย ไม่เป็นไปตามความคาดหวังและโพลต์ใหม่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับ จะส่งผลให้บุคคลนั้นขาดความมั่นใจ และอาจไม่ชอบ ไม่พอใจรูปลักษณ์ตัวเอง เกิดความกังวล ชีวิตไม่มีความสุข เมื่อสะสมไปเรื่อยๆก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติทางจิตใจและอารมณ์ได้ง่าย เช่นหวาดระแวง เครียด หรือ ซึมเศร้า ซึ่งเป็นภัยเงียบที่น่าเป็นห่วง โดยหากเป็นเยาวชน วัยรุ่น จะมีผลกระทบต่ออนาคตได้ เด็กที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง จะมีผลให้พัฒนาตัวเองยาก ขาดภาวะการเป็นผู้นำ ซึ่งมีความสำคัญมากในการใช้ชีวิตทั้งการทำงาน ครอบครัว โอกาสที่จะคิดพัฒนานวตกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ จึงเป็นไปได้ยากขึ้น มีผลต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างคาดไม่ถึง

ด้าน แพทย์หญิงกุสุมาวดี คำเกลี้ยง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.ขอนแก่น จึงแนะวิธีการป้องกันลูกหลานเสพติดเซลฟี่ และการสร้างความมั่นใจในตัวเองบนโลกแห่งความเป็นจริง สำหรับผู้ปกครองใน 5 ประการดังนี้

1. สอนเด็กให้มองและยอมรับในความแตกต่างของคนที่ไม่เท่ากัน

2. ควรเลี้ยงดูบุตรหลาน โดยให้ความรัก ความอบอุ่น รวมถึงให้คำแนะนำการใช้โลกออนไลน์และเซลฟี่ให้เหมาะสม

3. ฝึกเด็กให้รู้จักระเบียบวินัย รู้จักควบคุมตัวเองในการใช้เวลาในโลกออนไลน์

4.สอนให้เด็กรู้จักคบเพื่อนในโลกแห่งความเป็นจริง ฝึกทักษะทางสังคม

5.ฝึกให้เด็กมีเอกลักษณ์เป็นของตนเองในโลกแห่งความเป็นจริง โดยชวนทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว