เพื่อคลายความสงสัยเกี่ยวกับความเชื่อดั้งเดิม ที่กลมกลืนกับยานพาหนะรุ่นใหม่แบบไร้รอยต่อ Voice On Being จึงเดินทางไปพูดคุยกับ คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อสอบถามความเป็นมา ความแตกต่าง วิธีใช้งาน และทิศทางในอนาคต
คมกฤช : ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ความเชื่อเรื่องศาสนาผีมีมานานแล้ว และความเชื่อเรื่องยานพาหนะมีผีสิงสถิตอยู่ ก็เหมือนกันคนโบราณที่นับถือ ‘แม่ย่านาง’ ไม่พูดจาลบหลู่ ไม่ขึ้นไปเหยียบหัวเรือ ตลอดจนผูกผ้าหลากสีแสดงความเคารพ
จนมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 มีการบันทึกว่า พระองค์นำท้าวหิรัญพนาสูร หรือท้าวหิรัญฮู มาวางไว้บนรถยนต์พระที่นั่ง ถือเป็นหลักฐานชิ้นแรกๆ ว่ามีการนำรูปเคารพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปไว้ในรถยนต์
จากนั้น พอชาวบ้านมีรถยนต์มากขึ้นความกลัวอุบัติเหตุก็ผนวกกับความเชื่อเดิมอย่าง ‘แม่ย่านาง’ จึงนิยมนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปไว้บนรถด้วย เพราะเชื่อว่าจะทำให้ปลอดภัยในการเดินทาง
ประเทศไทยไม่ได้เป็นสังคมเดียวที่นิยมนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสักการะบนยาพาหนะ ไม่ว่าฝั่งตะวันตก ตะวันออก หรือศาสนาไหนๆ ล้วนแต่มีวัฒนธรรมนี้ อย่างศาสนาคริสต์อาจจะป็นรูปนักบุญ ถ้าไปที่อินเดียรถของคนฮินดูรถยนต์มีเทวรูปขนาดเล็กวางไว้เกือบทุกคัน
คมกฤช : เดิมเราเป็นวัฒนธรรมผี ความเชื่อเรื่องผีแทรกซึมอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของชีวิต แต่ความศักดิ์สิทธิ์แบบผีจะให้คุณหรือโทษก็ได้ ชาวเรือและคนที่เชื่อเรื่องผีจะไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ ไม่ข้ามไม่เหยียบหัวเรือเ พราะมีความกลัวแฝงอยู่
ปัจจุบันความเชื่อเรื่องผีลดลง แต่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังพุทธ และพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาที่มาทีหลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์รุ่นใหม่ไม่ว่าจะเป็นรูปของเทวดา หรือพระเครื่องก้าวมาอยู่เบื้องหน้า แต่ระบบความเชื่อต่างกันทำให้ไม่เกิดความกลัวเหมือนศาสนาผีเป็นการสะท้อนว่า ความเชื่อแบบเดิมไม่ได้หายไปแต่เข้มข้นน้อยลง
คมกฤช : ในเชิงความเชื่อการห้อยพระเป็นลักษณะของการคุ้มครองส่วนตัว ครอบคลุมเฉพาะเราคนเดียว ถ้านั่งไปด้วยกันไม่รู้ว่าคนอื่นจะรอดไหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนรถสามารถคุ้มครองได้ทั้งคันจะเป็นรถบัส หรือรถเก๋งก็คุ้มครองได้ ระบบความเชื่อแบบผีคือ ต้องมีที่สถิตย์ เมื่อคุณต้องการให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของรถก็ควรจะตั้งอยู่ในรถ
คมกฤช : ระบบการศึกษาของพระสงฆ์สมัยก่อนจะเข้าไปเรียนตามสำนักที่มีความถนัดต่างกัน ในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง หรือเขตที่โจรผู้ร้ายชุกชุม ก็จะมีความแพร่หลายของไสยศาสตร์ประเภท ‘คงกระพันชาตรี’ เพราะเกิดการต่อสู้บ่อยครั้ง
ปัจจุบันค่านิยมในการต่อสู้ของลูกผู้ชายเปลี่ยนไป ในกรุงเทพฯ จะเห็นได้ชัดเลยว่า ไสยศาสตร์ยอดฮิตมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทคือความรัก และความร่ำรวย
การเลือกวัตถุมงคลมาสักการะบนยานพาหนะมักจะเป็นเกจิอาจารย์ที่ถนัดด้านการป้องกัน หรือคงกระพันชาตรี เพราะถ้าเป็นเมตตามหานิยมก็คงจะเป็นฟังก์ชันที่ไม่เข้ากัน
คมกฤช : พุทธศาสนิกชนต้องการเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนามากขึ้น พระที่ทำไสยศาสตร์จึงไม่เป็นที่ยอมรับ และชาวพุทธรู้สึกว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมทำให้พุทธศาสนาแปดเปื้อน และไม่เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีสาระแก่นสาร เกจิอาจารย์ที่ยังมีชื่อเสียงอยู่จึงเป็นรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยวงการพระเครื่อง ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือนอกจากไสยศาสตร์จะลดลงแล้วยังย้ายไปสู่ระบบฆราวาสมากขึ้น
คมกฤช : วิธีใช้ไสยศาสตร์จะมีอยู่ 2 ประเภท แบบแรกคือ ใช้ด้วยตัวเอง เช่น การสวดมนตร์คาถา หรืออาคม อีกแบบคือ การใช้ผ่านวัตถุมงคล วิธีการก็มีตั้งแต่วางไว้ในที่ๆ เหมาะสมและมีอุปเท่ห์ หรือวิธีใช้เล็กน้อย ผมคิดว่าคนสมัยก่อนเน้นไปที่การเรียนรู้วิธีใช้ด้วยตนเอง ต่างกับรุ่นใหม่ที่มีความง่ายของระบบตลาด และการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจ ทำให้เราไม่อยากยุ่งยากกับการใช้ไสยศาสตร์แบบเก่าอีกแล้ว
คมกฤช : เทคโนโลยีเปลี่ยน แต่ระบบความคิดความเชื่อไม่เปลี่ยนตาม เราเจริญก้าวหน้าทางด้านความรู้ แต่ไม่ได้ผลิตความคิดแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ได้สร้างกระบวนการวิเคราะห์ ไม่มีความคิดเชิงวิพากษ์ ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรจากที่เคยเข้าใจ ความเจริญทางวัตถุไม่ได้เป็นปฏิปักษ์กับความเชื่อ แต่ช่วยสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นในอนาคตวัตถุมงคลก็จะยังคงอยู่แบบนี้แหละ
คมกฤช : ถ้ามองเชิงฟังก์ชั่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อาจจะมีประโยชน์ถ้าสามารถช่วยให้ผู้ที่เคารพมีสติ แต่ถ้าเกิดมีแล้วสบายใจจนไม่โฟกัสกับการเดินทางอาจจะเป็นอันตรายก็ได้ สุดท้ายแล้วมันตอบยากว่ามีประโยชน์ หรือโทษ ความเชื่อของปัจเจกบุคคลเป็นสิทธิ์ในสังคมสมัยใหม่
คมกฤช : ปัจจุบันสัดส่วนของคนที่นับถือ และไม่นับถือศาสนาในโลกตะวันตกมีจำนวนพอๆ กัน เพียงแต่โลกที่เป็นประชาธิปไตย หรือสังคมที่ทันสมัยไม่ได้แปลว่าจะต้องปฏิเสธความเชื่อ ตราบใดที่ไม่ได้ลิดรอนสิทธิของผู้อื่น และไม่ผิดกฎหมายก็เป็นสิทธิ์ที่จะเชื่ออย่างไรก็ได้
ต่างกับประเทศไทยที่ยังไม่ก้าวไปสู่สังคมประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เวลาคิดอะไรที่สุดโต่ง และอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยก็จะถูกบีบให้หายไป
วัฒนธรรมอำนาจนิยมในบ้านเราบังคับให้คุณต้องเลือกข้าง คุณเชื่อก็ต้องทำลายคนที่ไม่เชื่อ จนไม่เหลือพื้นที่ให้ยืนร่วมกัน
คมกฤช : สมัยนี้ชนชั้นกลางเป็นลูกค้าหลักของตลาดวัตถุมงคล ไม่ว่าจะสายฆราวาส หรือสายออนไลน์ ไม่ใช่กลุ่มคนรากหญ้า แม้พวกเขาจะอาศัยอยู่ในชุมชนทางศาสนา และหน้าที่หนึ่งคือ การสืบทอดความเชื่อเหล่านั้นก็ตาม สิ่งนี้คือปรากฏการณ์น่าสนใจ
เมื่อชนชั้นกลางถูกดึงออกมาจากสังคมศาสนา และอยู่แบบปัจเจกมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่มั่นคงอะไรสักอย่างเลยแสวงหาสิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวช่วย
อย่างที่บอกว่า ไสยศาสตร์แฝงอยู่กับศาสนาผี พวกเราคิดว่ามากันไกลมากจากโลกโบราณ ละไม่ได้พึ่งความเชื่อผีอีกแล้ว ผมกลับเห็นตรงกันข้ามว่า เราน่าจะไปทางผีกันมากกว่าเดิมเสียอีก