ฟ้าใส ปวีณสุดา ดรูอิ้น มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 พร้อม 15 สาวงามผู้เข้าประกวดเปิดตัวโครงการ We Are One by Fahsai Journey #1 ภายใต้คอนเซปต์ รอยยิ้มสดใสด้วยพลังใจแห่งศิลป์ โดยร่วมมือกับ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะจากหลากหลายแขนง ทั้งทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ มาร่วมถ่ายทอดแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาสในสังคมและเยาวชนผู้พิการได้พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ผ่านการเรียนรู้จริง จากกิจกรรมเวิร์กช็อปของโครงการ เพื่อให้ทุกคนนำไปปรับใช้เป็นประโยชน์ในการเติมเต็มความฝัน อีกทั้งยังหาเลี้ยงชีพหรือพึ่งพาตนเองได้ต่อไป โดยมีเด็กด้อยโอกาสจำนวน 104 คน จาก 7 โรงเรียน กับ 1 มูลนิธิมาร่วมโครงการ
ฟ้าใส ปวีณสุดา ให้สัมภาษณ์กับ ทีมข่าว วอยซ์ออนไลน์ ถึงที่มาโครงการนี้ว่า อยากจะให้โอกาสให้กับผู้ด้อยโอกาสและผู้พิการ ได้มีสิทธิเท่าเทียมกับทุกคน เพราะรู้ดีว่า คำว่าโอกาสนั้นไม่ได้มาง่ายๆ
“ฟ้าใส อยากที่จะให้โอกาสกับเด็กที่ด้อยโอกาส เพราะคิดว่า โอกาสที่เขาจะสามารถทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำ ทำในสิ่งที่เขาฝัน หรือสิ่งที่เขาอยากต่อยอดไปเป็นอาชีพในอนาคต บางทีหาโอกาสได้ยาก โชคดีที่ฟ้าใส มีผู้ใหญ่ใจดี มีผู้สนับสนุน ศิลปิน วิทยากรขั้นท็อปของประเทศไทย ในด้านของศิลปะ มาช่วยสอน ในโครงการ ทั้งหมด 74 คน วันนี้ในกิจกรรมเวิร์กช็อปมี วิทยากร 36 ท่าน มาช่วยดูแลใน 7 โซน พร้อมทั้ง ศิลปิน ส่งผลงานศิลปะมาประมูล เพื่อนำรายได้สมทบเข้าโครงการ
"คำว่าโอกาสมันไม่ได้มาง่ายๆ บางทีเรารอโอกาสนั้น แต่ว่ามันไม่เคยมา ฟ้าใสในวันนี้ ฟ้าใสได้รับโอกาสเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ และได้รับความสนใจจากหลายๆคน เพราะฟ้าใสมีตำแหน่ง เมื่อฟ้าใส มีโอกาส ฟ้าใสก็อยากจะมอบโอกาสให้กับคนที่ด้อยโอกาสอยู่ค่ะ"
เธอได้เล่าประสบการณ์ในชีวิต ตั้งแต่เด็ก กับความรู้สึกการพลาดโอกาส แต่ด้วยศิลปะ ดนตรี กีฬา สามารถเป็นจุดเชื่อมต่อเข้าไปหาโอกาสต่างๆ มากมาย
“เวลาพลาดโอกาสมันเสียใจนะ ที่เขาไม่ได้มองที่ความสามารถ มองแค่เครือข่ายความสัมพันธ์ อายุที่เราเด็กไป ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ทำไมคุณไม่ให้โอกาส ถ้าให้โอกาสแล้วทำไม่ดีพอ ก็คืออีกเรื่องหนึ่ง แค่ขอโอกาสเท่านั้นเอง
โอกาสในการงาน การเรียน ทุนการศึกษา หรือการประกวด ตอนเด็กๆ มันได้ยาก โดยเฉพาะ โอกาสในการเข้าสังคม ตอนที่ฟ้าใส ไปต่างประเทศ ตอนนั้นยังสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ได้ โอกาสในการมีเพื่อนมันก็ยาก แล้วตอนเด็กๆ เวลาที่ ฟ้าใสไม่สามารถสื่อสารได้ สิ่งที่ฟ้าใสเข้าหาเพื่อนได้ โดยไม่ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษ คือ ศิลปะ ดนตรี และ กีฬา ฟ้าใส เลยอยากนำความทรงจำ ความสุข เหล่านี้ มาสร้างความทรงจำดีๆ กับน้องๆ ด้วยค่ะ
กว่าฟ้าใส จะได้โอกาสมา มันพลาดมาหลายครั้ง อย่างเช่นในเรื่องศิลปะ ในด้านวาดรูปสีน้ำ ฟ้าใสยังลงสีไม่ค่อยเป็น ก็ได้แค่วาดรูป หรือ ด้านดนตรี ฟ้าใสเล่นดนตรีหลายประเภทมาก แต่โอกาสที่จะแสดงเดี่ยว ไม่ได้มีมาง่ายๆ โอกาสทุกโอกาสมันขึ้นอยู่กับว่า เรามีความสามารถพอไหม เราพยายามพอไหม หรือขึ้นอยู่กับว่า คนที่เขาสามารถให้โอกาสเรา เขาให้ไหม มันขึ้นอยู่หลายโอกาส
การที่คนด้อยโอกาส และคนพิการ ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน มันขึ้นอยู่กับคำที่เราไม่ให้โอกาส และเราไม่เปิดโอกาส พื้นฐานก็มีส่วนในการเข้าถึง ด้านการศึกษาก็ส่วนหนึ่ง มันเหมือนขาดโอกาส ตอนนี้เราไม่สามารถช่วยเหลือทุกกลุ่มได้ แต่เราสามารถเริ่มได้ ฟ้าใส ดีใจมาก ที่วันนี้ น้องๆ จากมูลนิธิกลุ่ม ABLE ที่ฟ้าใสเคยทำก่อนหน้านี้ ได้มามีส่วนร่วมในกิจกรรม"
ด้วยความที่ ฟ้าใส เรียนจบ คณะวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว (Kinesiology) จากมหาวิทยาลัยคาลการี ประเทศแคนาดา ทำให้เธอได้เห็น ว่าประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับผู้พิการผู้ด้อยโอกาสอยู่น้อย และสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ยังไม่เท่าเทียม
“เปรียบเทียบกับต่างประเทศบ้านเรา ยังไม่มีการแบ่งโซน เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กลุ่มคนพิการได้อย่างชัดเจน ที่จะช่วยให้เขาสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งใคร แต่ว่าในอดีตถึงปัจจุบัน มันมีการพัฒนา แต่ก็อยากให้มีมากกว่านี้
กีฬามันจำเป็นสำหรับผู้พิการ มองที่เด็กๆ เขาก็อยากสนุกเหมือนกับคนอื่นๆ เด็กที่พิการสามารถทำได้ แค่ปรับอุปกรณ์ กติกา ให้เข้ากับเขา เช่น บาสเก็ตบอล ก็เป็นวีลแชร์บาสเก็ตบอล คนที่ตาบอดแต่ยังมองเห็นจางๆ ก็สามารถเล่นได้เป็น โกลด์บอล มันเป็นการปรับกติกาและอุปกรณ์สำหรับคนที่พิการ ซึ่งกีฬาเหล่านี้ ต้องใช้ความสามารถ และยากกว่าคนปกติ ตอนฟ้าใสอยู่ที่แคนนาดา ได้ลองเล่นกีฬาแบบที่คนพิการเล่น นับถือมากเลย มันยากมากๆ เลยนะคะ อย่าง วีลแชร์บาสเก็ตบอล เขาต้องควบคุมรถ ควบคุมลูกบอล ก็ต้องมีความแข็งแรงในส่วนลำตัว มันยากกว่าบาสเก็ตบอลปกติ
ผู้พิการในเมืองไทย มีหลายคนมีความสามารถพิเศษในการเล่นกีฬา แต่สิ่งที่ขาดเลย คือ ทุนสนับสนุนเบื้องต้น หลายๆคนจะเห็นศักยภาพของคนกลุ่มนี้ ต่อเมื่อเขาได้รางวัล ได้เหรียญทองกลับมา แต่จริงๆ ควรสนับสนุนตั้งแต่เราเห็นความสามารถเขา มันควรสนับสนุนก่อนที่เขาจะไปคว้ารางวัลกลับมา"
ฟ้าใส เชื่อว่าทุกคน ไม่ว่าจะพิการ หรือไม่พิการ เขามีโอกาสเท่าเทียมกัน คนที่พิการเขาอาจไม่มีโอกาสที่จะเล่น เนื่องจากอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายด้วย เลยอยากจะให้มีผู้สนับสนุนเขามาสนใจก่อนที่เขาจะไปแข่งขัน
ก่อนที่ ฟ้าใส จะประกวดมีโอกาสไปหลายมูลนิธิ และมองว่าที่ไหนมีจุดที่จะสามารถเล่นกีฬาได้บ้าง ซึ่งพบว่ามีน้อยมาก เขาจะเน้นไปที่ การกายภาพบำบัด มากกว่าการเล่นกีฬา และบางที่ยังบอกว่า เด็กเหล่านี้พิการเขาไม่สามารถเล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่ขยับร่างกายได้ ก็อยากจะเปิดโอกาสด้วยว่า พวกเขาสามารถทำได้นะ แต่ต้องมีบุคคลผู้เชี่ยวชาญเขาไปสอน อุปกรณ์ สถานที่ต่างๆ ด้วยการไม่เคยเน้นด้านกีฬา ก็เลยทำให้พบว่ามีน้อย
จากโครงการนี้ ฟ้าใสโชคดีมีผู้สนับสนุน ให้โครงการนี้สำเร็จ จะเห็นว่าน้องๆ ที่มาร่วมกิจกรรมมีรอยยิ้ม และมีความสุขมาก หลายๆ คนก็เหมือนฝันเป็นจริง เพราะเขาอยากสานต่อพรสวรรค์ในด้านนี้ และเขาสามารถไปต่อยอดได้อีก แต่ว่ายังโครงการอีกเรื่อยๆ เราสามารถพัฒนาศักยภาพตัวเองในด้านนั้นด้วย
หลายคนอาจจะคิดว่า ไม่ค่อยมีใครให้โอกาสเขา เห็นเขา ฟ้าใสอยากบอกว่า ฟ้าใสคนหนึ่งที่เห็น ตอนนี้อาจจะยังไปไม่ถึงโรงเรียนหรือมูลนิธิคุณ ถ้ามีโอกาสสานต่อโครงการนี้ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็จะไปถึง แต่ถ้าที่ไหนอยากมีส่วนร่วมกับโครงการ ฟ้าใส ก็สามารถส่งมาที่ เฟซบุ๊ก MISS UNIVERSE THAILAND
ฟ้าใส เชื่อว่า ทุกคนมีศักยภาพ และมีความฝันของตัวเอง แต่ ณ ตอนนี้ยังไม่สู่สายตาชาวโลก อยากบอกว่า ให้ทุกคนทำตามฝันไปเรื่อยๆ และทำต่อไป ความสามารถของคุณก็จะออกมา ในวันนึงคุณจะทำตามฝันได้สำเร็จ เหมือนกับ ฟ้าใส
โครงการ We Are One by Fahsai Journey #1 เป็นโครงการนำร่อง ซึ่งในอนาคตเธออยากจะทำกิจกรรม ที่เปิดโอกาสให้เด็กออทิสติก เด็กพิการแขนขา เด็กที่มาต่างจังหวัด พร้อมเพิ่มเรื่องดนตรี และกีฬา ในเร็วๆ นี้