นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคหัวใจเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย โดยมีอัตราการเสียชีวิตอยู่ในอับดับ 1 ใน 3 ของประเทศมาตลอด โดยเฉพาะกลุ่มช่วงอายุตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป ที่มักมีปัญหาของโรคหลอดเลือดหัวใจ
ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาทประชาชนควรดูแลหัวใจให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่อยู่ภายในทรวงอกตรงกลางค่อนไปทางซ้าย มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อพิเศษ มีขนาดเท่ากำปั้นของเจ้าของ ทำหน้าที่เป็นปั๊มคอยรับเลือดดำจากทั่วร่างกายไปฟอกที่ปอด และกลับมาสูบฉีดเพื่อนำสารอาหารและอากาศไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
หากมีอาการผิดปกติ เช่น เหนื่อยง่ายมากกว่าปกติ จุกแน่นหน้าอกเหมือนมีอะไรมากดทับ ปวดร้าวไปที่หัวไหล่ซ้ายหรือไปที่กรามเจ็บนานเกินกว่า 3 – 5 นาที พักแล้วไม่ทุเลาหรือมีอาการเจ็บรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องรีบพบแพทย์ทันที เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยหาแนวทางการรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว
ด้าน แพทย์หญิงวิพรรณ สังคหะพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กล่าวเพิ่มเติมว่า อาการบ่งชี้ข้างต้นเป็นสัญญาณที่เป็นภัยซ่อนเร้น เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ จึงแนะนำให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว
ทั้งนี้่ โรคหลอดเลือดหัวใจสามารถรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ในรายที่เป็นไม่มากหรือภายหลังการรักษาด้วยวิธีเปิดหลอดเลือดหัวใจ และการรักษาด้วยวิธีเปิดรูหลอดเลือดหัวใจที่ตีบในรายที่มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจมากกว่าร้อยละ 50 หรือมีอาการมาก เช่น จุกแน่นหน้าอกตลอดเวลา ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีโอกาสเสียชีวิตสูง แพทย์จะทำการสวนหัวใจและฉีดสีดูเส้นเลือดหัวใจว่าตีบที่จุดใดและทำการเปิดรูที่ตีบโดยการถ่างขยายด้วยลูกบอลลูนและใช้ขดลวดค้ำยัน หรืออาจใช้วิธีการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจบายพาส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและการวินิจฉัยของอายุรแพทย์หัวใจ
สำหรับการปฏิบัติให้ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดหัวใจและป้องกันการเป็นซ้ำอีกหลังการรักษา ควรปฏิวัติตนเองดังนี้
1. เปลี่ยนแปลงนิสัยการกิน งดอาหารหวาน มัน เค็ม ควรเลือกบริโภคอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และเส้นใยต่างๆ
2. งดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด
3.ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในระดับปกติ
4. ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน
5. พบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ
6. ควรบอกญาติมิตร ครอบครัว ที่ทำงานให้ทราบว่าท่านเป็นโรคอะไรและวิธีรักษาในภาวะฉุกเฉิน
7.ควรพกยาอมใต้ลิ้นหรือสเปรย์ขยายหลอดเลือดหัวใจในภาวะฉุกเฉินติดตัวตลอดเวลา