‘คำ’ เป็นของต้องระวัง เพราะ “คำ-คุมความคิด-คุมการตัดสินใจของคน-สร้างความชอบธรรมทางการเมือง”
จนถึงวันนี้ “กองหนุนลุงตู่” เพิ่มพูนขึ้นทุกวัน เฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่า 2 ซุ้มทางการเมืองที่สำคัญ พร้อมให้การสนับสนุน พรรคทหาร ทั้งในฐานะ “พันธมิตร-สมาชิกพรรค”
ซุ้มแรก คือ “ชื่นชอบ คงอุดม” อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทายาท “ชัช เตาปูน” ที่ประกาศลาออกจากพรรคเก่าแก่ ไปร่วมงานพรรคของพ่อ แหล่งข่าวชี้ว่า “พรรคของ ชัช เตาปูน ที่มีฐานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศนี้ จะเป็นอีกพรรคหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาหนุน พรรคทหาร”
ทั้งยังมีกระแสข่าวว่า ซุ้มบ้านใหญ่สระบุรี โดย ตระกูล “อดิเรกสาร” ทั้ง “ปองพล-ปรพล อดิเรกสาร” ก็กำลังจัดเตรียมทีมสระบุรี เพื่อเข้าร่วมกับพรรคใหม่ของรัฐบาล ปองพลจะเป็นกุนซือ และปรพลจะจัดทัพทางการเมือง
ส่วนซุ้มที่สาม คือ ซุ้ม “เนวิน-อนุทิน” ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการจะไปเหยียบถิ่นบุรีรัมย์ในสัปดาห์หน้า และมีกระแสข่าวว่า “เนวิน” เตรียมขนคนต้อนรับ 3 หมื่นคน ณ สนามช้างอารีน่า สนามฟุตบอลของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
ฉากละครการเมืองนี้ น่าจับตา เพราะถ้าได้ “พรรคภูมิใจไทย” เป็น “กองหนุน” เท่ากับ “ดีลทางการเมือง” ฉบับหนุนลุงตู่เป็นนายกฯ จะง่ายดายขึ้นมาก
สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป เรียกปรากฏการณ์เหล่านี้ผ่านคำว่า “ดูด” “พลังดูด” ซึ่งมีความหมายในทางลบทั้งสิ้น
และยิ่งคำว่าดูด ถูกประกบด้วยคำว่า “นักการเมืองเลว” หรือ “เจ้าพ่อ/อันธพาลทางการเมือง” ซึ่งคือหนึ่งในเหตุผลที่ต้องเป่านกหวีดเรียกคณะรัฐประหารชุดนี้มาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ คำว่า “ดูด” ดำเนินไปในทางลบหนักหน่วงกว่าเดิม
สื่อฝ่ายอนุรักษ์นิยม ยังไม่ปราณีต่อวิถีทางการเมืองเช่นนี้ ดูได้จาก บทความของ “สุรวิชช์ วีรวรรณ” จาก “ค่ายผู้จัดการ” ที่พาดหัวบทความว่า “เมื่อลุงตู่ดูดนักการเมือง ก็ได้ “ปฏิกูล” แทน “ปฏิรูป
“นายกฯจอมดูด” โต้ กับ อภิสิทธิ์ เรื่อง “พลังดูด” นี้ว่า “ไม่ได้ยิน ฉันไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น วิพากษ์วิจารณ์ไปสิ ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว ทำงานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกัน”
นั่นคือปฏิกิริยาแบบ “เดือดดาล” ก่อนหาทางอธิบาย “คำ” ใหม่ ให้เป็นบวกกับผู้ครองอำนาจ ทั้งในเวลานี้ และที่จะดำเนินต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะ “หลังการเลือกตั้ง”
โจทย์ใหญ่คือ ทำอย่างไร -- ภาพลักษณ์ของบรรดา นายพล ที่ลงมาเล่นการเมือง จะไม่ย่อยยับแบบนักการเมืองเลวทั่วไป ? ทำอย่างไร ให้การรวมตัวของ นายพล ทหาร กองทัพ ที่ลงมาเล่นการเมือง กับ นักการเมืองเลว ทั่วไป เป็นการรวมตัวที่มีความชอบธรรมในทางการเมือง และสง่างามเพียงพอ ?
ถ้าแก้โจทย์นี้ไม่ได้ กองทัพจะถูกมองว่า สืบทอดอำนาจ และถูกมองว่า ลงมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองเสียเอง!! ถ้าดำเนินไปแบบนี้ รัฐประหารจะยิ่งกว่า “เสียของ”!!
โจทย์นี้ แก้ปัญหาได้ในเชิงการสื่อสาร และรื้อ-สร้างความหมายใหม่ในทางการเมือง ด้วยตระหนักว่า ถ้า “คุมคำ” ได้ ก็จะ “คุมความคิด-คุมการตัดสินใจ” ของคนได้
“คำ” และ “รื้อ-สร้างความหมายใหม่ของ คำ” จะช่วย “ยื้อเวลาในครองอำนาจออกไปได้” กระทั่งจะทำช่วยทำให้ “การครองอำนาจในอนาคตเกิดความสง่างามได้”
เมื่อได้ “ความหมายใหม่ของคำ” ก็ส่งไม้ต่อ ให้ท่านผู้นำ “ตีฆ้องร้องป่าว”
ณ วันนี้ สื่ออยู่ในมือท่านผู้นำมากที่สุด และ ณ วันนี้ ในวงการโฆษณารู้ดี บริษัทที่จ่ายเงิน PR มากที่สุด ในระดับติด 1 ใน 3 ไม่ใช่บริษัทขายสินค้นทั่วไป แต่เป็น รัฐบาลไทยนี่เอง
“ดูด” ในความหมายใหม่ นายกฯ อธิบายไว้ว่า “ฉะนั้นเรื่องการดูดกันมันก็มีทุกพรรคการเมืองมายาวนานแล้ว มันเป็นครรลองของประชาธิปไตยของไทยตลอดมา หลายคนอาจจะอ้างว่าทำด้วยอุดมการณ์ ด้วยนโยบายเพื่อชาติและประชาชน คำว่าดูด ส.ส. คงเป็นภาษาของสื่อฯ เป็นการตลาด”
“ดูด” กลายเป็น “ครรลอง” “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ” นัยหนึ่งคือเป็นแม่แบบทางการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่โดยตลอด ไม่ผิดแปลกอะไร ถ้า คสช.จะเล่นเกมส์ด้วยวิธีการเดียวกัน คำนี้ยังถูกอธิบายใหม่ภายใต้ “เงื่อนไขใหม่” ว่าเป็นการ “ดูดเพื่อชาติ-ดูดเพื่อส่วนรวม-ดูดที่ชอบธรรม”
นายกฯ อธิบายไว้ว่า “ผมคิดว่าพี่น้องประชาชนควรใช้วิจารณญาณได้เองว่าอะไรคือการทำเพื่อส่วนรวม อะไรเป็นการทำเพื่อพวกพ้อง หากเรามีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญเช่นเดียวกันแล้ว ก็น่าจะช่วยกันทำงานได้”
การ “ดูด” บรรดาเจ้าพ่อก็ดี นักการเมืองเลวก็ดี นักการเมืองที่ทหารเคยวิจารณ์ว่าเลวและมีประวัติเสื่อมเสียในเรื่องการทุจริตก็ดี ถึงที่สุด ถ้าเป็นการดึงตัวมาร่วมงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ ก็สามารถจัดได้ว่า เป็น “สูตรทางการเมือง-สูตรการครองอำนาจหลังการเลือกตั้ง” ที่เป็นไปได้ ชอบธรรม และสอดคล้องกับหลักการที่ทหารพยายามรักษาไว้ ไม่ขัดกันแต่อย่างใดกับเป้าหมายแต่แรกเริ่มเมื่อเข้ามาทำการรัฐประหาร
“ระบอบเผด็จการ” หรือ “การสืบทอดอำนาจ” กระทั่ง “การดูดนักการเมือง เข้ามาทำงานกับ คสช.ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว” ยังถูกอธิบายใหม่ ผ่านคำว่า “แมวที่สะอาด”
นายกฯ อธิบายไว้ว่า [ลองพิจารณาคำกล่าวของผู้นำประเทศหนึ่ง ที่กล่าวว่า "ไม่ว่าแมวขาว หรือแมวดำ ก็ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี" เนื่องจากในการแก้ปัญหาเดียวกันนั้น แต่ต่างพื้นที่ ต่างสภาพแวดล้อม วิธีการย่อมแต่ต่างกัน ในรายละเอียดไม่มีสูตรตายตัว เพียงแต่ว่าสำหรับเราเองนั้นเราจะต้องทำให้ทั้งแมวขาว แมวดำ ของเรา ไม่ทะเลาะกันเอง ไม่กัดกันเอง และเป็นแมวสะอาด ไม่มีเชื้อโรค ไม่อย่างนั้นก็ไปปราบหนูไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องทำให้บ้านเมืองเราสะอาด ต้องใช้แมวที่สะอาดนะ ฝากช่วยกันคิดดู]
“แมวที่สะอาด” ในความหมายนี้ กินความหมายไปไกลกว่า การแสวงหาความชอบธรรมให้กับ ระบอบเผด็จการที่กำลังดำเนินไปอยู่ และจะครบรอบ 4 ปี ของการครองประเทศในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ แต่ยัง รื้อ-สร้าง ภาพลักษณ์และความหมายของนักการเมืองบางกลุ่มที่จะเข้ามาร่วมทำงานกับ คสช.ด้วย
นัยยะหนึ่ง ไม่ว่า ทหารที่มุ่งสืบทอดอำนาจ หรือ นักการเมืองเลวที่ต้องการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ ถ้าแสดงให้เห็นถึงการมุ่งมั่นทำเพื่อส่วนรวม ถ้าตัดสินใจมาทำงานร่วมกับ คสช. ก็สามารถจัดเป็น “แมวที่สะอาด” ได้
นอกจากการบิดความหมายของ “คำ” อย่างที่ปรากฏในข่าวแล้ว เพจโปรโมตผลงานของรัฐบาลบางเพจ ซึ่งมีผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย เช่น เพจสายลับจับแหล ยังช่วยสร้างความหมายใหม่ให้ “คำ” ต่างๆ และชี้ให้เห็น สูตรทางการเมืองใหม่ๆ ที่กำลังดำเนินไปอยู่ในขณะนี้
นัยยะหนึ่ง คือการสร้าง “สงครามคำ” และ “สงครามข่าว”
เพจนี้ มีคำใหม่ๆ และสูตรทางการเมืองใหม่ๆ ออกมานำเสนอเป็นระยะ ล่าสุด บอกว่า รัฐบาลลุงตู่ หลังการเลือกตั้งรอบหน้า จะเป็นทั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ" "รัฐบาลปรองดอง" แต่ขณะนี้ จะขอเป็น "รัฐบาลปฏิรุูปก่อนเลือกตั้ง"
เพจนี้ บอกว่า รัฐบาลลุงตู่ "ไม่มีการเมืองน้ำเน่า" "ไม่มีการเมืองซ้ำซาก" "การเมืองไม่สร้างสรรค์ดีแต่พูด"
เพจนี้ บอกว่า ทั้งทหารและก๊กการเมือง ต่างให้ สัตยาบัน เพื่อร่วมกัน "ตั้งรัฐบาลแห่งชาติหลังการเลือกตั้ง" บีบ "ให้คู่ขัดแย้งวางมือ" ระหว่างก่อนถึงวันเลือกตั้ง คสช.จึงชวนนักการเมือง หรือ ดูด มาร่วมกัน "ทดลองงานได้ก่อนในรัฐบาลชุดนี้ ถ้างานดีไปด้วยกันได้ก็จะต่อสัญญายาวไปอีก 5 ปี" "อยู่ครบเทอม" และ "เกินเทอม" ทั้งนี้ก็เพื่อให้ "แก้การเมืองแบบสะเด็ดน้ำ"
บรรดา พรรคการเมือง หรือ นักการเมืองที่เข้ามาช่วยงานรัฐบาล คสช. ไม่ได้จัดเป็น "กองหนุน ลุงตู่" เท่านั้น แต่จัดเป็น "กองหนุนแห่งชาติ" เพื่อตั้ง "รัฐบาลแห่งชาติ"
เพจนี้ โจมตี พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย โดยตรงว่า "พวกหัวโบราณปากกล้าขาสั่นที่คุยว่ามีสมาชิกเป็นล้านเหลือไม่ถึงหลักหมื่นที่คุยว่าจะได้ส.ส.200-300อาจจะเหลือไม่ถึง100"
เหล่านี้คืออันตรายจากการบิดความหมายของ “คำ”
เป้าหมายอยู่ที่การ “ดูดเพื่อชาติ” เพื่อสร้าง “รัฐบาลแมวสะอาด” ให้เป็นจริงได้
เป้าหมายอยู่ที่การบิดคำ เพื่อสร้างความสง่างามในการครองอำนาจ
ศึกเลือกตั้งยังอีกนาน ระหว่างก็อยู่กับเกมส์ “รัฐบาลปฏิรูปก่อนเลือกตั้งไปก่อน” จะอยู่ในเกมส์นี้ให้สนุกต้องเท่าทัน “สงครามคำ-สงครามข่าว” เชื่อว่าจะมีการบิดความหมายของคำอีกมากให้เราได้ติดตาม