นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แถลงว่ากองทัพสหรัฐฯ ร่วมกับฝรั่งเศสและอังกฤษ เข้าโจมตีคลังอาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรีย เมื่อประมาณ 04.00 น. วันนี้ (14 เม.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นของซีเรีย ซึ่งตรงกับช่วงค่ำวันที่ 13 เม.ย.ของสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้รัฐบาลซีเรียที่ใช้แก๊สพิษโจมตีถูกกลุ่มกบฎที่ยึดพื้่นที่เมืองโกตาเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา ทำให้มีพลเรือนเสียชีวิตประมาณ 200 ราย รวมเด็กและผู้หญิง
ในการแถลงดังกล่าว ทรัมป์ได้ขอบคุณฝรั่งเศสกับอังกฤษซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรที่สำคัญ พร้อมย้ำว่าการเปิดฉากโจมตีครั้งนี้เพื่อตอบโต้ 'ผู้นำเผด็จการ' ซึ่งหมายถึงนายบาชาร์ อัล-อัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นในการใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือนของตัวเอง ซึ่งเป็นการอ้างอิงข้อมูลขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้กล่าวประณามประธานาธิบดีอัล-อัสซาดของซีเรียว่าเป็น 'ปีศาจผู้ก่อเหตุอันร้ายแรง' พร้อมเตือนรัสเซียและอิหร่านให้ยกเลิกการสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย โดยตั้งคำถามว่า ประเทศแบบไหนกันที่อยากยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาลที่สังหารหมู่เด็กๆ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ของตัวเอง
ขณะที่สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่าปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการโจมตีพร้อมกันหลายจุด ร���มถึงคลังอาวุธของกองทัพซีเรียในเมืองฮอม และโรงงานผลิตสารเคมีไม่ไกลจากกรุงดามัสกัส ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นต้นตอการผลิตอาวุธเคมีให้แก่รัฐบาลซีเรีย
(ผู้ชุมนุมต่อต้านความรุนแรงรวมตัวในกรุงลอนดอนเพื่อประท้วงการโจมตีซีเรีย)
"รัฐบาลซีเรีย อิหร่าน และรัสเซีย ต้องรับผิดชอบ"
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ออกแถลงการณ์สนับสนุนการโจมตีซีเรียร่วมกับรัฐบาลสหรัฐฯ และฝรั่งเศส โดยระบุว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะช่วยป้องกันและลดโอกาสของกองทัพซีเรียในการใช้อาวุธเคมีโจมตีพลเรือน
ขณะที่หนังสือพิมพ์ ดอยเชอเวลเลอ ของเยอรมนีรายงานอ้างอิงคำแถลงของ ราช ชาห์ โฆษกประจำทำเนียบขาวสหรัฐฯ ซึ่งระบุว่า ทรัมป์ต้องการให้รัฐบาลซีเรียเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ในซีเรียซึ่งถูกสังหารหมู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมย้ำว่าปฏิบัติการตอบโต้ซีเรียจะยังดำเนินต่อไป และทรัมป์จะกดดันให้รัสเซียและอิหร่านยุติการสนับสนุนรัฐบาลซีเรียด้วย
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ต่อต้านสงครามและการใช้ความรุนแรงได้รวมตัวกันในหลายเมืองของสหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส เพื่อประณามการโจมตีทางอากาศซีเรียของรัฐบาลประเทศตะวันตกทั้ง 3 ประเทศ ซึ่งผู้ชุมนุมระบุว่าการใช้ความรุนแรงไม่อาจยุติปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ เคยใช้ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศของซีเรียครั้งหนึ่งเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้ว โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้กองทัพซีเรียที่ใช้อาวุธเคมีกับประชาชน และผลการสอบสวนของสหประชาชาติยืนยันว่ามีการใช้แก๊สพิษจริง แต่ผลการสอบสวนยังไม่สิ้นสุด
ขณะที่ ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติชี้ว่าการโจมตีด้วยอาวุธเคมีถูกจัดฉากขึ้น และหากสหรัฐฯ แทรกแซงด้วยการใช้กำลัง ก็จะเกิดผลเสียหายตามมาอย่างมหาศาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: