รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยประชาชนผู้ที่ต้องการเข้าถึงเงินกู้ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีสินทรัพย์และรายได้ที่มั่นคง ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ความจำเป็นที่ต้องกู้มาใช้ในสิ่งจำเป็นอาจมีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอเรื่องการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อย
ทั้งนี้ นับแต่เริ่มให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เมื่อปี2559 กระทรวงการคลังได้อนุญาตให้มีการประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์รวม 858 ราย ใน 72 จังหวัด อนุมัติสินเชื่อแก่ประชาชนรายย่อยไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 328,300 บัญชี คิดเป็นวงเงิน 8,250.38 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 25,130 บาทต่อบัญชี มากไปกว่านั้น รัฐบาลยังมอบหมายให้ธนาคารออมสิน เป็นอีกหน่วยงานหลักในการช่วยเหลือประชาชนรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยทางธนาคาร ได้ออก “สินเชื่อเสริมพลังฐานราก" รอบ 2 ที่กู้ได้สูงสุดได้ไม่เกินรายละ 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.35% ต่อเดือน (Flat Rate) ระยะเวลาผ่อนชำระเงินกู้ไม่เกิน 3 ปี ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน อีกทั้งยังปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หรือไม่ต้องชำระเงินงวดใน 6 เดือนแรก
รัชดา ระบุว่า ในเรื่องการจัดการเจ้าหนี้โหด นายกรัฐมนตรีได้สั่งการเข้มกับการเอาผิดเจ้าหนี้นอกระบบผิดกฎหมาย และกำชับให้ทุกภาคส่วนทำงานอย่างบูรณาการตามนโยบายแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาล หากนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2559 จนถึงสิ้นเดือน ก.ย. 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้ผิดกฎหมาย จำนวนสะสม 7,476 ราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการลดภาระหนี้นอกระบบโดยการไกล่เกลี่ย การเพิ่มศักยภาพลูกหนี้นอกระบบ และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบโดยองค์กรการเงินชุมชน สำหรับประชาชนที่ถูกขูดรีดจากเจ้าหนี้ผิดกฎหมาย สามารถร้องเรียนได้โดยตรงที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สายด่วน 1599 ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สายด่วน 1359 ศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) โทร. 0 2575 3344
รบ.เชิญชวนคนไทยใช้จ่ายผ่านโครงการรัฐ เดินทางท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี
ด้าน ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนประชาชนออกมาท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก ตั้งแต่เดือน พ.ย. และ เดือน ธ.ค. ทั้งนี้ประชาชนสามารถท่องเที่ยวโดยใช้จ่ายผ่านโครงการของรัฐหลากหลายโครงการ เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ปัจจุบันข้อมูล ณ วันที่ 8 พ.ย.2563 เหลือจำนวนสิทธิที่พัก 2,275,361 สิทธิ , เหลือสิทธิตั๋วเครื่องบิน 1,828,842 สิทธิ โครงการ “กําลังใจ” โดยรัฐสนับสนุนเงินให้คนละ 2,000 บาท แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร และ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล (รพ.สต.) เป็นค่าใช้จ่ายให้เที่ยวในประเทศ 2 วัน 1 คืน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีในโครงการช้อปดีมีคืนได้ด้วย
ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย. มีวันหยุดตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นกรณีพิเศษ ในวันที่ 19-20 พ.ย.2563 ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ จึงจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันตั้งแต่วันที่ 19 - 22 พ.ย. รวม 4 วัน ขณะที่เดือน ธ.ค.2563 มติ ครม.ได้ให้เลื่อนวันหยุดชดเชยวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษารัชกาลที่ 9 จากวันจันทร์ที่ 7 ธ.ค.เป็นวันศุกร์ที่ 11 ธ.ค.63 ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดราชการต่อเนื่องรวม 4 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 10-13 ธ.ค.63 ทั้งนี้ เพื่อหวังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจับจ่ายใช้สอย
"สำหรับโครงการเราเที่ยวด้วยกัน รับสิทธิส่วนลดค่าที่พัก 40% สูงสุดไม่เกิน 3,000 บาทต่อคืน รวมไม่เกิน 10 ห้องหรือ 10 คืน , รับคูปองมูลค่าสูงสุด 900 บาทต่อวัน เพื่อใช้เป็นค่าอาหาร ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการ , คืนเงินค่าตั๋วเครื่องบิน 40% โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กำลังพิจารณาแนวทางการปรับปรุงโครงการให้ประชาชนได้รับความสะดวกสูงสุด พร้อมเพิ่มแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการมากยิ่งขึ้น โดยหวังให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย มีเม็ดเงินกระจายลงสู่ผู้ประกอบการและคนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง เพราะการท่องเที่ยว ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยวจะช่วยให้เศรษฐกิจในภาพรวมดีขึ้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนออกมาเที่ยวในช่วงปลายปี โดยรัฐมีหลายมาตรการสนับสนุน"