ปัจจุบัน 'ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ' หรือ 'เต้น' ซึ่งถูกขนามนามว่า 'สุภาพบุรุษไพร่' แม้จะถูกคดีทางการเมืองถูกคุมขังจองจำจนขาดอิสรภาพ และถูกพันธนาการด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย จนทำให้เขาไม่สามารถลงสมัคร ส.ส. หรือมีสถานะเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
ทำให้เขาเลือกตัดสินใจกลับเข้าช่วยงาน 'พรรคเพื่อไทย' ในบทบาทใหม่ สถานะ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เคียงข้าง 'แพทองธาร ชินวัตร' หรือ อุ๊งอิ๊งค์ ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
'วอยซ์' ประเดิมสัมภาษณ์พิเศษในรูปแบบ Voice Politics กับ 'ณัฐวุฒิ' เป็นครั้งแรก โดยนัดพบกันที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน เพื่อไขคำตอบถึงภารกิจหลักของ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย หลัง 'ณัฐวุฒิ' ได้เคียงข้าง 'แพทองธาร' ปราศรัยใหญ่เป็นครั้งแรกที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2565 และมีกำหนดการจะบุกขึ้นเหนือ ปลุกแลนด์สไลด์ จ.เชียงราย โดยหวังว่าการเลือกตั้งในอนาคต จะเกิดแลนด์สไลด์ให้กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอีกครั้ง
"เราพูดคุยกันตลอดนะ วันที่ผมมาเปิดตัวก็มี พี่วีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. คุณหมอเหวง โตจิราการ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มาส่งมาให้กำลังใจ อาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธาน นปช. ก็ปรึกษาหารืออยู่ในวงเดียวกันเพียงแต่ว่าพี่ ๆ ที่อาวุโสเหล่านี้ เขาอยากที่จะติดตามการเมืองอยู่ข้างนอก เขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเข้มข้นอีก เพราะว่าแต่ละคนก็เลยเลขเจ็ดกันไปแล้ว"
'ณัฐวุฒิ' ออกตัวถึงมิตรสหายที่เคยร่วมรบข้างนอกสภาฯ เมื่อครั้งชุมนุมต่อสู้ในนาม นปช.
"ส่วนที่ยังคิดว่าเรายังมีเรี่ยวแรงหรือยังมีความต้องการที่จะเข้ามาทำการเมืองในมิตินี้ อย่างผม อย่างคุณก่อแก้ว พิกุลทอง อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หรือคนอื่นๆที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว เราก็ทำแต่มีอะไรเราปรึกษากัน มีอะไรเราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตลอด"
ผมติดตามสถานการณ์ทางการเมืองมาตลอด ด้วยเหตุผลของกติกาการเลือกตั้ง ที่มันไม่เอื้อให้กับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ แบบพรรคเพื่อไทย มี ส.ส.ทั้งเขต และบัญชีรายชื่อไปพร้อมๆ กัน เหมือนสมัยก่อน บัตรใบเดียว มันชัดเลย ว่าเขียนมาเพื่อให้เพื่อไทย มีส.ส.บัญชีรายชื่อ ดังนั้น หลังจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ ผมกับพรรคพวกส่วนหนึ่ง ก็นั่งคิดอ่านเรื่องการเมือง วางแผนดำเนินการทางการเมืองกันไปบ้างแล้ว จึงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางกติกากลับมาเป็นบัตรสองใบอีกครั้ง ช่วงนั้นก็เพิ่งออกจากเรือนจำได้ไม่นาน ก็มีเพื่อนมิตรพรรคการเมืองต่าง ๆ เขามาหา มาชวน ไปร่วมงานอยู่เหมือนกัน รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย ก็นั่งคิดอ่าน ประเมินสถานการณ์ จนในที่สุด
เมื่อปรากฏครอบครัวพรรคเพื่อไทยขึ้นมา มันลดข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับสถานะของผม เนื่องจากผมไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคได้ สมัคร ส.ส.ไม่ได้ เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้ การเข้ามาอยู่ในครอบครัวเพื่อไทย มันไม่มีข้อกำจัดเหล่านี้เลย และสามารถที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองตามศักยภาพ หรือ ประสบการณ์ที่เรามี และเราเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ได้ ประกอบกับเป้าหมายทางการเมืองที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ เรื่อง แลนด์สไลด์ มันสัมพันธ์กันกับความจริงของสถานการณ์ ที่การเมืองปัจจุบัน
การเลือกตั้งรอบที่กำลังจะมาถึง ถ้าเราต้องการที่จะยุติการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และพวก ต้องการที่จะผลักคนกลุ่มนี้ ให้พ้นจากอำนาจรัฐ ก็ต้องเอาชนะให้เด็ดขาดในสนามเลือกตั้ง ดังนั้นเที่ยวนี้ ถ้าจะชนะอีกทีต้องให้เด็ดขาด ถ้าพรรคเดียวเกินครึ่ง เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย โอกาสและความชอบธรรมในการที่จะตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย ผมเชื่อว่ามันมีอยู่มาก และมันเป็นไปได้ พรรคการเมืองอื่น ๆ ในฝ่ายประชาธิปไตย ทุกพรรคก็มีศักยภาพ
ผมเชื่อว่า คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ก็ยังอยู่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย แล้วก็เป็นความจริงที่ปรากฏบางส่วน ไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่นแล้ว ในซีกประชาธิปไตย ดังนั้น ส่วนที่เขายังอยู่กับพรรคเพื่อไก็ต้องให้เกิดความเชื่อมั่นให้ช่วยกันเคลื่อนไหว ให้ช่วยกันแสดงพลัง เพื่อสร้างการสนับสนุนทางการเมืองให้พรรคเพื่อไทยให้มากที่สุด
ส่วนที่เขายังลังเลกำลังคิด กำลังตัดสินใจอันนี้ก็ต้องเชิญชวนให้มาช่วยกัน บางส่วนถ้าเขาตัดสินใจไปแล้ว แล้วก็ไม่คิดจะกลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอีก อย่างน้อยในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็ต้องเคารพกัน เพราะถือว่าเป็นสิทธิโดยชอบ ถ้าตราบใดที่ทุกคนยังยืนอยู่ในแนวทางประชาธิปไตย ความเป็นเพื่อนมิตร ความผูกพันที่เคยต่อสู้กันมา มันก็ยังอยู่ ก็เดินหน้ากันไปแบบนี้ คือประชาชน ไม่มีหน้าที่โดยตรง ที่จะต้องเป็นมวลชนสนับสนุนตลอดกาลของพรรคการเมืองใดก็ตาม แต่พรรคการเมืองมีหน้าที่โดยตรง ที่จะต้องสื่อสารกับประชาชน ทำความเข้าใจ แสดงความมุ่งมั่น แสดงนโยบาย แสดงศักยภาพ ให้ประชาชนเชื่อถือให้ได้ และร่วมทำงานการเมืองในแนวทางของพรรคด้วยกัน
เรื่องนั้นเป็นวาระของกรรมการบริหารพรรค มันมีกลไกของพรรคเพื่อไทยที่เขาจะพิจารณา ตัวบทกฎหมายเขาเขียนไว้ชัดว่าจะต้องเดินยังไง ถึงจะประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกได้ ผมก็เคารพในมติของพรรค ซึ่งเมื่อเขายังไม่ประกาศ อาจจะเป็นคุณอุ๊งอิ๊งค์ ก็ได้ หรือคนอื่นก็ได้ คุณอุ๊งอิ๊งค์ อาจจะเป็น 1 ใน 3 หรือไม่ได้อยู่ในนั้น รอเมื่อถึงเวลาดีกว่า การเดินหน้าของครอบครัวพรรคเพื่อไทย จึงไม่ได้หมายเฉพาะว่าจะต้องผลักดันหรือสนับสนุนคุณอุ๊งอิ๊งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
แต่สิ่งที่เราประกาศต่อประชาชน คือจะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ให้ได้คะแนนเสียงแลนด์สไลด์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จัดตั้งรัฐบาล ยุติอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันโอชา มันคือเป้าหมายนั้น
"ผมมันคนช้ำประจำซอยอยู่แล้วเจอมาทุกรูปแบบ ทุกข้อกล่าวหาแล้ว ผมก็จะเดินหน้าแบบของผมต่อไป"
มันเป็นสีสันของบนเวทีปราศรัย ผมว่าประชาชนที่เขาเฝ้ามอง เขาเห็นผมบนเวทีการเมืองมานาน แต่กับคุณอุ๊งอิ๊งค์ เพิ่งปรากฏตัวไม่นานนัก การสัมผัสธรรมชาติ สัมผัสตัวตนของคุณอุ๊งอิ๊งค์ ผมว่ามันจะเป็นการลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับนักการเมืองหน้าใหม่ วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ ที่คุณอุ๊งอิ๊งค์ลงสนามการเมืองเต็มตัว การที่จะทำให้คนรู้สึกว่า นี่คือการแสดง
คือภาพที่ถูกเตรียมการที่ถูกจัดการไว้ ผมว่าเดินไปแบบนั้นในทางยาวมันไม่เป็นประโยชน์ มันก็ต้องทำให้เห็นตัวตนจริงๆ และคุณอุ๊งอิ๊งค์ก็แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ จะพูด จะยิ้ม จะหัวเราะ จะปลุกให้ฮึกเหิม จะแสดงความมุ่งมั่น เข้มแข็ง ตัวตนเป็นอย่างไรก็แสดงออกมาเป็นอย่างนั้น คือ วันนี้การเมืองไม่ใช่เวทีของการแสดง การจัดการ เตรียมการ ทำได้ แต่ตัวตนที่นำเสนอต่อประชาชน มันต้องเป็นตัวจริง เพราะฉะนั้น ผมก็จะมีลูกเล่นบ้าง อำบ้าง เเซวบ้าง เพื่อให้ตัวคุณอุ๊งอิ๊งค์ ทั้งและประชาชนรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกเข้าถึงกันได้ สัมผัสกันง่ายเท่านั้นเอง ไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร
ผมอยากให้ยกคำว่า นายกรัฐมนตรี ออกไปเสียก่อน เพราะว่าถ้าผมเข้ามาในครอบครัวเพื่อไทยแล้วบอกว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์เหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ มาก ก็เท่ากับผมไปก้าวก่าย แทรกแซงการทำงาน หรือดุลยพินิจของกรรมการบริหารพรรค มันก็จะเดินกันลำบาก แต่ถ้าผมบอกว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์ไม่เหมาะสมเลย ไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งสิ้น เดินทำงานกันในครอบครัวเพื่อไทย คุณว่า มันจะสนุกไหม ผมก็ว่ายากนะ
ดังนั้น อย่าไปใส่ความกดดันนี้ให้กับคุณอุ๊งอิ๊งค์วันนี้เลย เมื่อเธอตัดสินใจเดินเข้าสู่การเมือง ตัดสินใจเดินเข้าหาพี่น้องประชาชน ก็ให้ตัวตนของเธอ ให้ความรู้ ความสามารถ ศักยภาพที่จะแสดงออกมา ปรากฏต่อประชาชน และให้ประชาชนพิจารณา ส่วนในมิติของพรรคเมือง กรรมการบริหารพรรค เขามีโครงสร้างเขาอยู่แล้ว เขามีกระบวนการของเขาอยู่แล้ว ถึงเวลาเขาก็จะสรุปและก็ประกาศออกมาเอง ผมว่าเป็นแบบนี้ มันจะเป็นธรรมชาติกว่า
ยากกว่า งานคราวนี้ตัวกติกาก็ไม่เอื้อ และเราก็ไม่รู้เลยนะ สุดท้ายบัญชีรายชื่อจะหาร 100 หรือ หาร 500 จะไปแหกโค้งคว่ำกลางทางหรือเปล่า ยังมองข้อสรุปยาก เพราะฝ่ายที่เขาไม่อยากได้บัตร 2 ใบเลย เขาก็ไม่หยุดเคลื่อนไหว ประการต่อมา บริบททางการเมือง ต้องยอมรับว่าปี 2548 ด้วยความสำเร็จการบริหารด้วยนโยบาย ของพรรคไทยรักไทย สมัยปี 2544 มันหนุนส่ง มันแลนด์สไลด์ทะลุเกินครึ่งไปเลย และไปไกลด้วย ปี 2554 ความล้มเหลวของรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บวกกับพลังทางการเมืองของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประกาศตัว พร้อมกับลงสนาม 49 วัน มันสร้างกระแสสูง
แต่คราวนี้ พรรคเพื่อไทย ห่างหายจากเป็นรัฐบาลมาแล้ว 8 ปี ขณะเดียวกัน กลไกอำนาจรัฐ หรือทรัพยากรทั้งหลาย อยู่ในมือของฝ่ายรัฐบาลปัจจุบัน เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น พรรคเพื่อไทย มีที่พึ่งเดียวคือ ประชาชน และจะคาดหวังพลังจากประชาชนได้เต็มที่ ก็ต้องโชว์ตัวนโยบาย ต้องโชว์กระบวนการ การทำงานทางการเมืองที่มันชัดเจน มีน้ำหนัก สร้างความเชื่อมั่นได้ เอาว่า ขึ้นเวทีชก เป็นรองทุกประตู มีแค่ประตูสู้ประตูเดียว คือ ศรัทธา และความเชื่อมั่นของประชาชน ซึ่งมันจะเกิดจากผลงานเก่า นโยบายใหม่ มันจะจากวิธีการขับเคลื่อนทางการเมืองในปัจจุบัน และมันจะเกิดจากความชัดเจนเรื่องจุดยืนประชาธิปไตย สิ่งเหล่านี้จะมาประกอบพร้อมเข้าด้วยกัน และว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยก็จะต้องอยู่ในกระแสสูง ณ วินาทีนั้น มันต้องประจวบเหมาะกันทั้งหมด
ถ้าหากมองเทียบเคียงกับ สนามการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเห็นว่า คุณชัชชาติ เดินมาในช่วงเวลาที่องค์ประกอบทั้งหลายมันเอื้อ และศักยภาพส่วนตัวของคุณชัชชาติมันสูงพอที่จะทำให้เกิดแลนด์สไลด์ได้ แต่ในสนามใหญ่โจทย์มันยากกว่าสนามของคุณชัชชาติอยู่มาก แต่ถ้าหากประชาชน เกิดคิดและตกผลึกพร้อมกันได้ว่า ถ้าจะเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ กับพวก มันตัองพรรคใดพรรคหนึ่งในฝ่ายประชาธิปไตย ชนะขาดเท่านั้น ถึงจะเอาชนะได้ โอกาสเพื่อไทยมันก็จะเพิ่มมากขึ้น
"ผมมีความเชื่อว่าการเลือกตั้งคราวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่น่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่น่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอีกแล้ว มันจึงเป็นโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยนที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐได้จากการเลือกตั้ง"
ถูกต้อง และหากเป็นพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่จัดตั้งรัฐบาลได้จริง มันต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งชนะให้เด็ดขาด พรรคที่อยู่ใกล้โอกาสนั้นที่สุดก็คือพรรคเพื่อไทยทคนอาจจะคิดแบบนี้ก็ได้ เพราะว่าในปัจจุบัน ถ้าใครยังคิดว่าจะฝากความหวังของประเทศของชีวิตไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ อีกอย่างผมว่าก็หนักหนาแล้ว เราเดินมาถึงจุดที่ภาครัฐแนะนำให้ประชาชนใช้เตาอั้งโล่เพื่อรับมือกับวิกฤตพลังงานแล้ว แล้วต่อไปนี้มันอาจจะต้องไปอยู่ถ้ำอยู่ป่าเพื่อประหยัดไฟฟ้ากันหรือเปล่าผมก็ไม่รู้
ผมยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะผมยังไม่ทราบ คนที่จะเป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี จะเป็น บุรุษ หรือจะเป็นนารี
มันไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกๆ สมัยทางการเมืองอยู่แล้วพรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์ทุกแบบ อย่าว่าแต่โดนดูดไป 3-5 คนเลยย้ายพรรคไป 30- 40 คนก็เคยเจอมาแล้วแต่เราก็กลับมาได้กลับมาได้เพราะว่าประชาชนคนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุน
ดังนั้นในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ผมก็คิดว่าส.ส.ย้ายออกจากพรรคเพื่อไทยคงมีแต่ว่าที่จะย้ายเข้ามาจากพรรคการเมืองอื่นก็จะปรากฏให้เห็นเช่นเดียวกัน และที่เป็นบุคลากรในพรรคเพื่อไทยอยู่แล้วแม้ว่าจะเป็นผู้สมัครหน้าใหม่หรือยังไม่เคยได้รับการเลือกตั้งมาก่อน แต่ถ้านโยบายหรือแนวทางของพรรคมันจะโดนใจประชาชนก็น่าจะได้รับโอกาสในคราวนี้
"เมื่อเขายังไม่ประกาศ(แคนดิเดตนายกฯ) อาจจะเป็นคุณอุ๊งอิ๊งค์ก็ได้ หรือคนอื่นก็ได้ คุณอุ๊งอิ๊งค์ อาจจะเป็น 1 ใน 3 หรือไม่ได้อยู่ในนั้น รอเมื่อถึงเวลาดีกว่า"
ส่วนตัวผมว่าพังไปแล้ว 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้แสดงศักยภาพในการบริหารหรือในการแก้ปัญหาของประเทศ แล้วก็ 8 ปีที่ผ่านมาสภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะวิกฤติจนกรอบ โดยเฉพาะคนยากคนจนคนทำมาหากินกับชีวิตประจำวันทั่วๆไปไม่ใช่เจ้าของธุรกิจใหญ่โต ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นคนที่อยู่ในสภาพหนักหนาสาหัสที่สุด ดังนั้น ผมมีความเชื่อว่าการเลือกตั้งคราวนี้ พล.อ.ประยุทธ์ไม่น่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่น่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอีกแล้ว มันจึงเป็นโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตยนที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐได้จากการเลือกตั้ง
ผมมั่นใจว่าถ้าแลนด์สไลด์จริงการตั้งรัฐบาลได้ถึงตรงนั้น มันเป็นฉันทามติของประชาชนมันไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขคะแนน แต่มันเป็นความหมายที่ซ่อนอยู่มากกว่านั้นก็คือ 8 ปีที่คุณใช้ทุกวิธีการ 8 ปีที่คุณใช้ทุกอำนาจ 8 ปีที่ทำทุกอย่างเพื่อที่จะบังคับจิตใจประชาชน มันไม่สำเร็จประชาชนลุกขึ้นมาปฏิเสธ แล้วถ้าหากจะฝืนมติประชาชนอีกเนี่ยผมว่ามันอาจจะเกิดปัญหาลุกลามบานปลายแล้วใครก็รับผิดชอบไม่ไหว
ผมว่าพรรคเพื่อไทย สู้มาตลอดนะแล้วก็ยังไม่เคยหยุดสู้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 ก็สู้กับวิกฤตเศรษฐกิจเวลานั้นเราตกอยู่ใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจของ IMF เพราะปี พ.ศ. 2548 ก็สู้กับสถานการณ์ที่มันรุมเร้าเข้ามาในทางการเมืองจนในที่สุดอำนาจนอกระบบก็เข้ามาทำการรัฐประหารแล้วก็สู้กับมันเผด็จการชุดนั้นสู้กับการพยายามเอารัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ให้ผ่าน เพื่อไทยก็รณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ แล้วก็สู้ในสนามเลือกตั้งปี พ.ศ. 2550 ได้รับการเลือกตั้งต่อสู้กับขบวนการอำนาจนอกระบบที่มาชุมนุมยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร
แล้วเราก็สู้กับรัฐบาลที่ตั้งในค่ายทหารจนเกิดโศกนาฏกรรมเกิดบาดแผลในใจผู้คนทั้งในประวัติศาสตร์ของประเทศมากมายที่ยังรักษาไม่หาย แล้วก็สู้ในสนามเลือกตั้งได้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับขบวนการอำนาจนอกระบบนี่มีรัฐประหาร ก็เป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่ประกาศยืนหยัดต่อต้านเผด็จการสู้ในสนามเลือกตั้งที่ผ่านมา แล้วก็ยังคงประกาศต่อสู้กับรัฐบาลสืบทอดอำนาจในปัจจุบัน ที่ผมไล่ย้อนไป ตั้งแต่แรกเพื่อที่จะอธิบายให้เห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองในทัศนะของผม มันคือการเดินทางไกลมันคือเรื่องระยะยาว ถ้าบอกว่าเพื่อไทยสู้มาตลอดยังไม่ชนะ แต่สำคัญก็คือยังไม่หยุดสู้
ส่วนเพื่อนมิตรที่จะออกมาสู้ด้วยกันผมก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแต่ว่า มันคงไม่ใช่วาระที่จะมาวัดกันว่าใครสู้มากกว่าใครสู้น้อยกว่า ในเมื่อว่าทุกคนยังอยู่บนเส้นทางการต่อสู้มันยังไม่ถึงเส้นชัย เขาบอกว่าสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารการต่อสู้ทางการเมืองก็เหมือนกันตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเส้นชัยยังไม่มีใครสรุปได้หรอกครับว่า แนวทางการต่อสู้ของใครมันจะดีกว่าสำเร็จกว่าถูกต้องกว่า
"ถ้าจะชนะอีกทีต้องให้เด็ดขาด ถ้าพรรคเดียวเกินครึ่ง เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย โอกาสและความชอบธรรมในการที่จะตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งรัฐบาลของฝ่ายประชาธิปไตย"
ความสูญเสียของประชาชนผู้ร่วมอุดมการณ์ทุกคน ผมไม่เคยลืมเรื่องนี้ได้เลยแล้วผมคิดว่ามันเป็นภาระหน้าที่โดยตรง ที่จะทำให้สังคมนี้ได้รับรู้ความจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำให้กระบวนการชำระสะสางประวัติศาสตร์ได้ปรากฏแล้วก็ทำให้ผู้กระทำความผิดต้องรับผิดชอบตามกฏหมาย แม้ว่าวันเวลามันผ่านมา 10 กว่าปีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังไม่คืบหน้า แต่เราก็ต้องเดินทางกันต่อไปคนที่เขาจากไปแล้วก็ต้องรักษาเกียรติยศให้เขา
ส่วนคนที่ยังอยู่และปักใจว่าเรายังต้องสู้กันต่อเราก็ยังมีกันและกันอยู่ตลอดเวลา คืองานต่อสู้ทางการเมือง มันเป็นงานใจสมัคร ดังนั้นทุกคนพร้อมที่จะอยู่ในขบวนได้ตลอดแล้วก็มีสิทธิ์ที่จะพักข้างทางมีสิทธิ์ที่จะเลิกมีสิทธิ์ที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ก็ได้ตลอดเช่นเดียวกันผมจึงพยายามบอกพี่น้องที่สู้ด้วยกัน ว่าแต่ละคนในแต่ละสถานการณ์ มันแสดงออกเรื่องการต่อสู้ได้ไม่เหมือนกันแบกรับแรงเสียดทานจากการต่อสู้ได้ไม่เท่ากันและไม่สามารถที่จะมายืนบนเวทีการต่อสู้ในบทบาทเดียวกันได้ทุกคน มันไม่เป็นแบบนั้น ทุกคนก็มีเงื่อนไขของชีวิตมีเหตุผลมีความจำเป็นมีบาดแผลของตัวเอง
แต่ว่าถ้าเราเชื่อว่าทั้งหมดเหล่านี้ คือคนในขบวนเดียวกัน บางคนนั้งพักอยู่ข้างทางก็อย่าไปว่าอะไร วันหนึ่งเขามีเรื่องมีแรงก็มีความพร้อมเขาก็ลุกเดินตามเรามาได้บางคนเขา อาจจะล้มอยู่กลางทางก็ ไม่ใช่ว่าเรื่องเราจะต้องไปเดินข้ามหรือไปเสียดสี ประคับประคองรักษาแผลกายและใจแล้วก็เดินกันไปต่อ ในขบวนการประชาชนที่สู้กันยาวยาวมันเป็นแบบนี้ แล้วจะไม่มีขบวนไหนเลย ที่เดินกันด้วยความสงบเรียบร้อย เชื่อเหมือนกันคิดเหมือนกันตลอดทางมัน มีวิจารณ์ตรวจสอบกันไปกันมาเป็นแบบนี้
ผมถือเอาความจริงเป็นที่ตั้ง เรื่องนั้นคดีในศาล ศาลก็เลยตัดสินว่าไม่ได้เป็นการกระทำการของผู้ชุมนุมคลิปตัดต่อคำปราศรัยดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในการชุมนุมใหญ่ใด ๆ เลยมันเกิดขึ้นในเวทีเดินสายของนปช. ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ในบริบทอื่น พูดท่ามกลางข่าวว่าจะมีการรัฐประหารในวันสองวันนั้น คือถ้าหากว่าฟังคลิปนั้นล่วงหน้าไปอีกซักเกือบ 2 นาทีจะเข้าใจเลยว่ามันคนละเรื่อง ไม่เกี่ยวกัน เรื่องนี้ในชั้นศาล คุณถวิล เปลี่ยนศรี พยานปากเอก อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในเหตุการณ์เบิกความในศาลแล้วบอกว่าผมปราศรัยเมื่อถึงคราวทนายผมคัดค้าน
ผมก็ให้ทนายผมเอาคลิปความยาวประมาณเกือบ 3 นาทีและถามคุณถวิล ในฐานะพยานปากเอกว่ายังยืนยันหรือไม่ ว่าเป็นคำปราศรัยที่ราชประสงค์เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2553 คุณถวิล เปลี่ยนศรี กลับคำให้การบอกว่าเข้าใจผิดมาตลอด ศาลก็บันทึกไว้ในสำนวนในที่สุดศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องคดีก่อการร้ายดังนั้นความจริงมันจะไม่เปลี่ยนแปลง
ส่วนผู้คนจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าถ้าข้ามอคติความชอบไม่ชอบส่วนตัวมาได้แล้วมายืนอยู่กับความจริงแล้วตัดสินใจกันใหม่ ผมว่ามันจะเป็นประโยชน์ ไม่ใช่เป็นประโยชน์กับผมแต่ มันเป็นประโยชน์กับประวัติศาสตร์การเมืองไทย มันเป็นประโยชน์กับการพยายามแก้ไขความขัดแย้งของสังคมไทยเพราะทุกคนยืนอยู่กับความจริง แต่ถ้าหากว่าท่านมาอยู่กับความจริง แล้วเห็นแล้วว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับราชประสงค์เลย พยานปากเอกก็กลับคำให้การกลางศาล แล้วยังคิดว่าจะต้องประณามผมอยู่อีก ผมไม่ว่ากัน ผมมันคนช้ำประจำซอยอยู่แล้วเจอมาทุกรูปแบบ ทุกข้อกล่าวหาแล้ว ผมก็จะเดินหน้าแบบของผมต่อไป
ปฏิเสธไม่ได้ว่ากว่าที่ 'ณัฐวุฒิ' มีลีลาการปราศรัย มาได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเคยฝากผลงานไว้สมัยเป็นนักเรียน โรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช โดยเริ่มเข้าสู่วงการนักพูดด้วยการเป็นนักโต้วาทีผู้แทนโรงเรียน จนเป็นแชมป์รายการโต้คารมมัธยมศึกษา ทางไทยทีวีสีช่อง 3
การฝากลีลาวาทะเด็ดในครั้งนี้ เขาได้พบพบกับทีมโรงเรียนเทพศิรินทร์ ซึ่งมี สุพจน์ พงษ์พรรณเจริญ ชื่อเล่น ทุเรียน และสมเกียรติ จันทร์พราหมณ์ หรือ เสนาลิง ร่วมแข่งขันด้วย ต่อมาก็ได้มาเป็นดาราประจำรายการสภาโจ๊ก และรัฐบานหุ่น ทางสถานีโทรทัศน์ไอทีวี โดยเป็นเงาเสียงของ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
"คุณสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ บางคนในพรรคประชาธิปัตย์ เช่น ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี จากพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็เคยไปดูตอนเด็กๆ ก็จะเห็นลีลาเห็นวิธีการของผู้ปราศรัยเหล่านี้ แม้กระทั่งหลัง ๆ วิธีพูดแบบนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ก็จะมีอะไรบางอย่างบนเวทีที่อาจจะไม่เหมือนกับนักปราศรัยลำหักลำโคนหรือว่าการพูดสั้น ๆ แต่ว่าทำให้คนรู้สึกว่า เออมันโดนใจนี่ก็เป็นตัวแบบหลายๆ คนหลายๆ ท่านที่ผมเรียนรู้"
'ณัฐวุฒิ' บอกกับ 'วอยซ์' ถึงบุคคลในดวงใจที่ยึดเป็นต้นแบบของการปราศรัยหรืออภิปรายในเวทีต่างๆ หรือแม้แต่การอภิปรายในสภาฯ
เขาเล่าต่อว่า "แม้กระทั่งน้อง ๆ คนหนุ่มคนสาวปัจจุบันที่เขาพูดปราศรัย ถ้ามีโอกาสผมจะหาคลิปมาดู เพราะผมถือว่า นี่คือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบและเราไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดว่าไม่ต้องฟังใครเลย ไม่ต้องศึกษาเพิ่มเติมเลยมันก็ต้องเก็บสะสมความรู้ เก็บสะสมประสบการณ์อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าการพูดจาปราศรัยทางการเมืองจะไม่ตายตัว"
"ผมก็ต้องตามว่าเอาตอนนี้เพลงอะไรดังละครเรื่องอะไรดัง กระแสเรื่องอะไรกำลังเป็นที่สนใจของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ มันก็ต้องเอามาเก็บไว้เป็นวัตถุดิบประจำตัวมาให้มากที่สุด และเวลาเราจะขึ้นพูดจาปราศรัยทางการเมือง จะได้ประยุกต์ใช้ได้ก็จะแซะว่า เวลาทำไมผมพูดแล้ว มันมีลูกเล่นที่วัยรุ่น เขารู้จักหรือมันมีเรื่องที่มันกำลังเป็นที่สนใจเวลานั้น"
ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยที่เพิ่งผ่านการปราศรัยใหญ่ ที่ จ.ศรีสะเกษ บอกว่าก่อนเริ่มปราศรัยแต่ละครั้งจะต้องมีการเตรียมข้อมูลให้เหมาะกับประเด็นที่จะพูด โดยดูข่าวหรือดูข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งในปัจจุบันนี้ทำได้ไม่ยากแค่กดโทรศัพท์
"โดยส่วนใหญ่มันก็พอจะหาเนื้อที่เราต้องการได้แล้วก็ใช้ความคิดเป็นแหล่งผลิตคำปราศรัยถ้าทำซ้ำทำบ่อยเนี่ยมันจะเกิดความชำนาญมันจะเกิดทักษะ คือแรกๆ มันก็อาจจะใช้เวลาในการเตรียมตัวมากหน่อย แต่พอนานไปได้แล้วก็สามารถที่จะขึ้นไปพูดได้ลำดับความคิดไว้เสร็จก็นำเสนอได้ทันที" ณัฐวุฒิ บอกเคล็ดลับทำอย่างไรให้ 'ปราศรัย' สะกดคนดูคนฟังข้างล่างเวทีปราศรัย
"จะต้องเชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดต้องรู้สึกอย่างที่ตัวเองพูด ต้องพร้อมที่จะสู้เพื่อสิ่งที่ตัวเองพูด มันถึงจะมีพลังออกมาจากข้างในระหว่างสิ่งที่เรากำลังทำ ไม่ใช่การแสดง ไม่ใช่การประกวด ไม่ใช่การโต้วาทีที่ผมเคยทำมาตอนเด็กๆ แต่มันคือการต่อสู้ร่วมกับประชาชนที่เขารู้สึกจริงๆ เขาเป็นทุกข์จริงๆ รู้สึกเจ็บปวดจริงๆ ดังนั้นถ้าเราไม่เชื่ออย่างนั้นเราไม่รู้สึกอย่างนั้น มันทำไม่ได้"
หลังการปรากฏตัวบนเวที 'ไล่หนู ตีงูเห่า' จ.ศรีสะเกษ ในสถานะ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย เป็นครั้งแรกเคียงข้าง 'แพทองธาร ชินวัตร' หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ถามว่า การปราศรัยของคุณอุ๊งอิ๊งค์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างในสายตารุ่นพี่ที่ผ่านสนามการเมืองและมีประสบการณ์การปราศรัย โดย 'ณัฐวุฒิ' ตอบทันทีว่า "คุณอุ๊งอิ๊งค์มีพลังมาก"
"ผมว่ามีพัฒนาการที่น่าสนใจแล้วก็เชื่อว่ายังพัฒนาต่อไปได้อีก ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะว่าผมสังเกตว่าคุณอุ๊งอิ๊งค์ มีความสุขที่ได้ทำสิ่งนี้แล้วทำสิ่งนี้ออกมาจากข้างใน"
"คนเนี่ยถ้าทำด้วยหัวใจทำด้วยความสุข ที่จะอยู่กับมัน การเรียนรู้มันจะเกิดเร็วแล้วพัฒนาการมันจะเห็นชัดจากนั้นผมก็เชื่อว่าถ้าในแง่ของการพูดจาปราศรัยบนเวทีอ่ะเราจะเห็นคุณอุ๊งอิ๊งยิ่งพัฒนาไปได้ อย่างที่ศรีสะเกษ ทั้งสามเวทีก็ทำได้ดีเลย" ณัฐวุฒิ ออกปากชมลีลาการปราศรัยทางการเมืองของ 'แพทองธาร ชินวัตร' บุตรสาวคนสุดท้อง ดีเอ็นเอสายเลือด 'ทักษิณ ชินวัตร'
ข่าวที่เกี่ยวข้อง