ไม่พบผลการค้นหา
"วัฒนา" อัด ป.ป.ช.ตัดตอนเอกสารคดีบ้านเอื้ออาทร สะท้อนกระบวนการยุติธรรมไทยไม่น่าเชื่อถือ ลุ้นฝ่ายอัยการแก้ตัวชั้นไต่สวนศาล 18 ก.ค.นี้ รอดูรายชื่อบุคคลที่กระทำการก่อนเดินหน้าฟ้อง ร้องเอาผิดเอง เตือนผิดจริงมีโทษจำคุกตลอดชีวิต

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ในฐานะจำเลยที่ 1 คดีโครงการบ้านเอื้ออาทร แถลงชี้แจงกรณีตรวจพบว่าบันทึกคำให้การของพยาน 2 ราย คือนายพิทยา เจริญวรรณ กับนายพรศักดิ์ บุณโยดม ในชั้นคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ถูกตัดตอนข้อความในสาระสำคัญ ซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ไต่สวนผู้กระทำ และศาลมีคำสั่งให้อัยการโจทก์ ส่งคำคัดค้านภายในวันที่ 18 ก.ค.นี้ เพื่อประกอบการวินิจฉัย

นายวัฒนา กล่าวว่า การยื่นคำร้องต่อศาลให้มีการไต่สวน โดยให้ฝ่ายโจทก์เตรียมบันทึกคำให้การของพยานมาให้ศาล ซึ่งบันทึกคำให้การจะทำมาจากพยานที่ให้การในชั้นของ ป.ป.ช.ไว้ ซึ่งในเอกสารของ ป.ป.ช.จะมีการถาม-ตอบ โดยนำมารีไรท์ใหม่ แต่สาระสำคัญต้องคงเดิม ไม่มีการตัดทอน ตัดต่อ หรือยัดสิ่งอื่นเข้ามาใหม่

แต่ปรากฏว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือคำให้การของพยานสำคัญ 2 คน คือนายพิทยาและนายพรศักดิ์ มีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีการไต่สวน เพราะพฤติกรรมที่ทำ คือการตัดต่อข้อความในเอกสาร เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 เป็นความผิดของเจ้าพนักงานต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งผู้ใดเป็นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ กระทำการใดหรือไม่กระทำการใด เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับโทษหรือไม่ได้รับโทษ เจตนาที่ทำตรงนี้ คือต้องการให้ตนเองรับโทษ ซึ่งโทษส่วนนี้มีโทษจำคุกตลอดชีวิต

นายวัฒนา กล่าวต่อว่า สิ่งที่ ป.ป.ช.ทำ สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่น่าเชื่อถือ เอกสารใน ป.ป.ช.ยังถูกยัดไส้ หรือดึงออก หรือเปลี่ยนแปลงได้ จึงไม่เชื่อว่าเป็นการหลงลืม ไม่ใช่การลืมเซ็นชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ทราบว่าทำกับใครมาแล้วบ้าง แต่บังเอิญตนเองนั้นเป็นทนายความ เป็นนักกฎหมาย มีความละเอียดรอบคอบ จึงตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น 

อย่างคดีของอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีจำนำข้าว ป.ป.ช.ยัดเอกสารเข้ามากลางทาง 60,000 แผ่น ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด และยิ่งเป็นการพิจารณาคดีลับหลังจำเลย จำเลยไม่มีโอกาสได้มาต่อสู้ จึงไม่รู้ว่า ป.ป.ช.นำเอกสารใดนำมาให้ศาลพิจารณาบ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองคือการจับโจร จับโกหกได้คาหนังคาเขา

นายวัฒนา ย้ำว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวน เพราะเรื่องนี้จะไม่ทราบว่ามีบุคคลใดทำ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่มีกว่าพันคน หากจะฟ้องร้องดำเนินคดีจะต้องระบุตัวบุคคล ซึ่งขณะนี้ไม่ทราบว่าคดีนี้ใครเป็นผู้ทำบ้าง จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวน ซึ่งเมื่อศาลไต่สวนแล้วจะทราบว่าใครเป็นผู้ทำ ใครเป็นคนพิมพ์เอกสารออกมา หากจะดำเนินคดีต่อไปจะไม่แจ้งความกับตำรวจ จะเดินหน้าฟ้องร้องเอง

ซึ่งเรื่องนี้สอดรับกับกรณีที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีมติให้ ป.ป.ช.ถูกฟ้องได้ เพราะที่ผ่านมา ป.ป.ช.เป็นผู้กระทำต่อผู้อื่น แต่การฟ้องกลับ ป.ป.ช.จะต้องผ่านกระบวนการไต่สวน ซึ่งกระบวนการไต่สวน ป.ป.ช.นั้น ขั้นตอนแรกต้องรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ได้กว่า 25,000 ชื่อ หรือให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา อย่างน้อย 1 ใน 5 ลงชื่อให้ ป.ป.ช.จึงทำตัวเป็นเทวดา ไม่มีใครทำอะไรได้ เมื่อวันนี้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีการะบุว่าบุคคลธรรมดาสามารถฟ้อง ป.ป.ช.ได้ จะทำให้ ป.ป.ช.ทำอะไรระมัดระวังมากขึ้น

นายวัฒนา กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 15 ก.ค.นี้จะมีการไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย รวมถึงการไต่สวนคดีในวันศุกร์ที่ 19 ก.ค. แต่ศาลกำหนดให้อัยการยื่นคำให้การภายในวันที่ 18 ก.ค. ซึ่งจะต้องติดตามว่าฝ่ายอัยการจะแก้ตัวอย่างไร ทั้งนี้เชื่อว่าจะมีการแก้ตัวว่าหลงลืม เจ้าหน้าที่พิมพ์ตกไป แต่เป็นการพิมพ์ตกในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ พิมพ์ตกในสิ่งที่เป็นหัวใจของคดี

เรื่องนี้ ป.ป.ช.เป็นพนักงานสอบสวน เป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ป.ป.ช.จะรู้ว่าสิ่งใดคือหัวใจ เป็นจุดเป็นจุดตายของคดี เรื่องที่หายไปคือจุดเป็นจุดตายของคดีทั้งสิ้น การดำเนินคดีของป.ป.ช.จึงเป็นเรื่องการเมือง ทั้งที่คดีนี้ไม่สามารถมาถึงชั้นศาลได้ แต่ ป.ป.ช.ลากมาถึงชั้นศาลและใช้วิธีสร้างหลักฐานเท็จ