วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาญัตติการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเมื่อวานที่ผ่านมา (23 ก.ย.) ได้ติดตามหรือไม่ ว่า ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เมื่อถามว่า ดูท่าทางแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะท่าทีของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยืนยันไม่ให้ตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) วิษณุ กล่าวว่า คงไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่เห็นด้วยที่จะตั้งส.ส.ร.

ส่วนที่เริ่มมีการอ้างเรื่องค่าใช้จ่ายหากต้องเลือกส.ส.ร. นั้น ตนเห็นว่ามีการพูดถึงกันในทุกประเด็น ซึ่งฝ่ายที่สนับสนุนญัตติก็ยกเหตุผลขึ้นมาเป็นข้อๆ ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับญัตติหรือแม้แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยแต่มีเงื่อนไข ก็ได้ยกเอาสิ่งที่ตนเองเห็นว่าเป็นเหตุและผลขึ้นมา ซึ่งมีทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องเวลา เรื่องสถานการณ์โควิด เรื่องความจำเป็น หรือแม้แต่เรื่องข้อบกพร่องของข้อกฎหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สุดแล้วแต่ใครจะยกเหตุผลขึ้นมาหักล้างกัน แต่ก็เห็นว่า 1 คนใช้เวลาอภิปรายไม่เกิน 5 นาที ก็คงไม่สามารถยกเหตุผลและรายละเอียดขึ้นมาได้ไม่มากนัก

ดังนั้นคงเป็นลักษณะของแต่ละคนที่จะยกเหตุผลในแต่ละข้อขึ้นมา ซึ่งในส่วนของประชาชนที่ฟังอยู่ทางบ้าน และผู้ที่อยู่ในสภาซึ่งมีหน้าที่ต้องโหวตในญัตตินี้ก็ต้องฟังและชั่งน้ำหนัก นอกจากนี้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่การพิจารณาจะไปเข้มข้นมากขึ้นในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ โดยเฉพาะในส่วนของเนื้อหา ซึ่งการพิจารณากฎหมายทุกฉบับก็เป็นลักษณะนี้ 

เมื่อถามว่าหากต้องมีการเลือก ส.ส.ร.จริง ค่าใช้จ่ายจะสูงเทียบเท่าการเลือกตั้งส.ส.เลยหรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า คงเกือบเท่า ซึ่งกกต. เคยมาชี้แจงแล้วว่าจะมีค่าใช้จ่ายมาก เพราะมีความเหมือนการเลือก ส.ส. และ ส.ว. แต่อาจไม่สูงเท่า ส.ส. เนื่องจากการเลือก ส.ส.ร.จะใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง แต่ก็ต้องเลือกและต้องมีการอำนวยความสะดวกประชาชน แต่อาจมีส่วนที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมาคือเรื่องการพิมพ์เอกสารเผยแพร่ เพราะการเลือกตั้ง ส.ส.รัฐไม่ต้องจัดพิมพ์เอกสารเผยแพร่ เนื่องจากทางพรรคดำเนินการเอง แต่เมื่อมีการลงประชามติหรือเลือกส.ส.ร.นั้น รัฐต้องเป็นผู้จัดทำเอกสารเผยแพร่

ส่วนในชั้นนี้ถือว่าเสียงของ ส.ว.น่าจะเป็นเสียงที่สำคัญใช่หรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า ทุกเสียงทั้ง 750 เสียงสำคัญทั้งหมด 

เมื่อถามย้ำว่า ถ้า ส.ว.ไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ก็จะสามารถคว่ำร่างได้เลยใช่หรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า ผู้สื่อข่าวคงรู้อยู่แล้ว เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ที่กำลังจะแก้ไขอยู่นี้ก็คงทำให้สามารถเข้าใจได้ว่าคืออะไร

ขอยึดคำชี้แจงสำนักพระพุทธฯ กรณียกฟ้อง 2 อดีตพระวัดสามพระยา

วิษณุ กล่าวถึงกรณีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นยกฟ้องอดีตพระพรหมดิลก และอดีตพระอรรถกิจโสภณ วัดสามพระยา จำเลยในคดีทุจริตเงินทอนวัด ว่า ทางสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติได้ออกมาชี้แจงไปแล้ว ส่วนที่อดีตพระทั้ง 2 กลับมาห่มจีวรเป็นพระภิกษุนั้น ตนก็รับทราบแล้ว

ส่วนในทางปฏิบัติจะต้องรอศาลฎีกาก่อนหรือไม่นั้น วิษณุ ระบุว่า ขอให้ไปถามทางสำนักพุทธฯก่อน เพราะเบื้องต้นก็ได้ชี้แจงชัดเจนแล้ว ตามเงื่อนไขกฎหมายของเถรสมาคม ซึ่งมีประเด็นตั้งแต่เริ่มต้นว่า ได้สละสมณเพศแล้วหรือยัง หากสละแล้วการที่จะกลับมาก็ต้องบวชใหม่ แต่หากยังไม่สละสมณเพศก็กลับมาครองผ้าเหลืองได้แต่ถึงอย่างไรก็ขอให้ทางสำนักพุทธฯเป็นผู้ตอบ เพื่อให้คำตอบเป็นหนึ่งเดียวกัน ขออย่ามองเป็นเรื่องอื่น เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายและผู้ใหญ่ทางสงฆ์ 

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาก็เคยเกิดกรณีเช่นนี้ มีทั้งถูกและผิดซึ่งตนขอเวลาสักพักแล้วจะอธิบายให้ฟัง พร้อมย้ำว่าขอให้ทางสำนักพุทธฯเป็นผู้ชี้แจง เพราะตนยังไม่เห็นคำพิพากษาว่ามีรายละเอียดอย่างไร เห็นจากในข่าวเท่านั้น ขณะเดียวกันก็จะต้องดูอัยการโจทก์ด้วยว่าจะฎีกาต่อหรือไม่ ส่วนจะต้องให้คำแนะนำกับสำนักพุทธหรือไม่นั้น วิษณุกล่าวว่า เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็จะต้องมีการทำความเข้าใจกัน  

ส่วนทางออกของเรื่องนี้ต้องรอไปก่อนระยะหนึ่ง เรื่องนี้ยังใหม่อยู่ สื่อมวลชนเก่งกว่า ไวกว่า เมื่อได้ข่าวมาก็ยังตั้งหลักกันไม่ถูกว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร แต่ทางสำนักพุทธฯตั้งหลักถูกแล้ว พร้อมย้ำว่าขอยึดหลักคำชี้แจงของสำนักพุทธเป็นหลัก แต่บังเอิญคำชี้แจงนั้นเข้าใจยาก ตนจึงขอให้ชี้แจงซ้ำเพื่อให้เข้าใจง่ายกว่าเดิม