คาดว่าคุณผู้อ่านคงได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Joker กันแล้ว ชอบไหมครับ? ส่วนตัวผู้เขียนก็ต้องบอกกันตามตรงว่าอยู่ในฝั่งที่ไม่ค่อยปลื้มหนังสักเท่าไร
หนึ่งในโจทย์หลักของ Joker คือการพยายามอธิบายว่าทำไมชายคนหนึ่งถึงค่อยๆ กลายเป็นบ้า ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าลำพังแค่อาการป่วยทางจิตและการเป็นชนชั้นล่างในสังคมเหลื่อมล้ำก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครสักคนสติแตกได้ แต่หนังกลับดาหน้าใส่ความรันทดต่างๆ เข้ามา โดยเฉพาะเรื่องภูมิหลังทางครอบครัวของพระเอกที่น้ำเน่าไม่แพ้ละครไทยสมัยก่อน จากหนังที่ควรจะซีเรียสกลับเป็นหนังตลกไปเลย
แต่ในเวลาต่อมาผู้เขียนก็ได้พบงานที่ตอบโจทย์เรื่อง “ทำไมใครสักคนถึงกลายเป็นบ้า” ได้อย่างดีเยี่ยม นั่นคือซีรีส์เกาหลีเรื่อง Stranger From Hell
Stranger From Hell เป็นซีรีส์สิบตอนจบ ออกอากาศทางช่อง OCN เพิ่งฉายจบไปเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สร้างจากการ์ตูนที่มีให้อ่านออนไลน์ทาง Line Webtoon ซึ่งฉบับการ์ตูนก็ค่อนข้างโด่งดังทีเดียว ส่วนผู้เขียนสนใจตัวซีรีส์ตอนที่อ่านข่าวเจอว่าละครเรื่องนี้แม้จะมีดาราดังอย่างอีดงอุค แต่เรทติ้งกลับต่ำมาก เพราะมันมีเนื้อหาหดหู่เกินไป
เรื่องราวของ Stranger From Hell ว่าด้วยจงอู (อิมชีวาน) หนุ่มต่างจังหวัดที่ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงโซล ด้วยความไม่ค่อยมีเงิน เขาจึงต้องเลือกเข้าพักในหอโกโรโกโสที่ดูมีบรรยากาศไม่ต่างจากสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม แถมบรรดาคนอยู่ในหอพักนี้ยังมีแต่พวกเพี้ยน ซึ่งมันไม่ใช่ความเพี้ยนแบบประหลาด แต่เป็นทำนองว่าคนพวกนี้อาจจะลุกมาฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ
หากพิจารณาบรรดาผู้อาศัยในหอแล้วมันก็เป็นตัวแทนของ ‘คนบ้า’ ในรูปแบบต่างๆ มันมีทั้งคนบ้าจริงๆ เพราะสติไม่สมประกอบ (อันนี้ขอพูดแบบไม่ PC) อดีตนักโทษที่มักเป็นที่รังเกียจของสังคม รวมถึงคนที่บุคลิกหน้าตาดี แต่แท้จริงซ่อนความวิปริตเกินคาดไว้ภายใน อย่างที่เราเห็นว่าฆาตกรต่อเนื่องหลายรายหน้าตาดี
ชีวิตในหอว่าหนักหน่วงแล้ว โลก ‘นอก’ หอของจงอูก็สาหัสไม่แพ้กัน เขามีรุ่นพี่ที่เหมือนจะหวังดีแต่แท้จริงก็คอยกดขี่เขา, หัวหน้าที่คอยหาเรื่องจงอูตลอดเวลา, แฟนสาวก็เหมือนจะไม่เข้าใจเขามากขึ้นทุกที, แม่ผู้โทรมาด้วยความห่วงใยแต่กลับเพิ่มความหงุดหงิดให้ ยิ่งไปกว่านั้น จงอูยังฝันร้ายถึงประสบการณ์ตอนเกณฑ์ทหารอยู่เนืองๆ
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เองที่ทำให้จงอูค่อยๆ กลายเป็นคนเสียสติ คำว่า ‘กลาย’ ถือเป็นคีย์เวิร์ดของซีรีส์ชุดนี้ อย่างที่สังเกตได้ว่านิยายเรื่อง The Metamorphosis ของฟรันซ์ คาฟกา เป็นสัญลักษณ์สำคัญของเรื่อง
แต่กระบวนการเข้าสู่ความบ้าคลั่งถูกถ่ายทอดได้อย่างน่าเชื่อถือและขนลุกจากนักแสดงอย่างอิมชีวาน เรียกว่าแสดงแบบขายวิญญาณก็ไม่ได้เวอร์เกินไป ส่วนอีดงอุคก็พิสูจน์ความเป็นนักแสดงชั้นนำได้อีกครั้ง แค่ยิ้มทีเดียวคนดูก็กลัวจนยกมือไหว้แล้ว
สิ่งที่น่าสนใจของ Stranger From Hell คือการเรียกตัวเองว่า Dramatic Cinema อันหมายถึงละครโทรทัศน์ที่นำเสนอด้วยสไตล์แบบภาพยนตร์ ในเรื่องนี้เราเลยได้เห็นทั้งฉากลองเทค การตัดต่อและมุมกล้องหวือหวา หรือตอนสุดท้ายของเรื่องที่บู๊ดุเดือดไม่แพ้หนังทริลเลอร์เกาหลี ถึงกระนั้นโดยปกติละครเกาหลีก็มีไวยากรณ์ออกไปทางภาพยนตร์อยู่แล้ว แม้กระทั่งละครเชือดเฉือนตบตีแบบ SKY Castle
อย่างไรก็ดี เหตุปัจจัยที่ทำให้ผู้เขียนชื่นชอบ Stranger From Hell อย่างมากคือ ‘ความน่ากลัว’ ของมัน น่ากลัวในที่นี้ไม่ใช่ความสยองขวัญที่ต้องยกมือปิดตา แต่เป็นความท้าทายในเชิงศีลธรรม เช่นว่าเมื่อเรื่องราวดำเนินไป เราต่างลุ้นว่าเมื่อไรจงอูจะลุกขึ้นมาต่อยไอ้พวกน่ารำคาญรอบข้างเขาสักที ซีรีส์เรื่องนี้จึงมีความอันตรายไม่ต่างจาก Dogville (2003) ที่เราอยากให้นางเอกเผาหมู่บ้านทิ้ง หรือ Confessions (2010) ที่เราอาจเห็นดีเห็นงามกับการที่อาจารย์แก้แค้นพวกเด็กเปรต
ความน่ากลัวอีกประการของ Stranger From Hell คือการนำเสนอผ่านตัวละครจงอูให้เรารู้แจ้งว่าสังคมรอบข้างอาจมองออกว่าเราเป็นบ้าหรือไม่ปกติ แต่พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าเราเป็นบ้าเพราะอะไร เทียบเคียงง่ายๆ กับกรณีไวรัล ‘หนุ่มแว่นหัวร้อน’ ที่หลายคนพร้อมใจกันบอกว่าคนนี้ผิดปกติ แต่ไม่มีใครพยายามค้นหาว่าเขาเป็นอะไรหรือผ่านอะไรมา มีแต่จะไปยืนล้อมที่หน้าสถานีตำรวจเพื่อก่นด่าและอยากดักทำร้าย
จงอูกับหนุ่มแว่นเลยอยู่ในโลกใบเดียวกัน โลกที่ไม่มีใครแยแสว่าคุณผ่านนรกอะไรมา แต่พร้อมจะผลักคุณไปสู่นรกที่ตกต่ำกว่าทันที