สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเผยแพร่บทความของ ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทยเรื่อง 'การธำรงไว้ซึ่งสิทธิอธิปไตยของรัฐทั้งมวล' โดยระบุถึงการกระทำที่รุกรานของจีนในทะเลจีนใต้ที่มีต่อประเทศต่างๆ
บทความดังกล่าวชี้ว่า โครงการ “Blue Sea 2020” ว่าด้วยการบังคับใช้กฎหมายทางทะเลของจีนนั้นที่จีนอ้างว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อ “ยกระดับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล” แต่แท้จริงแล้วจีนใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อจัดการกับประเทศอื่นๆที่รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่จีนอ้างเอกสิทธิ์ครอบครอง โดยยกตัวอย่างเรือของจีนจมเรือประมงเวียดนามเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และทางการจีนยังได้เสริมกำลังของฐานทัพหลายแห่งรอบหมู่เกาะสแปรตลี (Spratly Islands) ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ ด้วยการส่งเครื่องบินเข้าไปประจำการเพิ่ม และจัดตั้ง “สถานีวิจัย” หลายแห่ง ตลอดจนส่งเรือสำรวจแหล่งพลังงานและกองเรือรบติดอาวุธลงพื้นที่เพื่อข่มขวัญผู้ประกอบการน้ำมันและก๊าซนอกชายฝั่งมาเลเซีย และยั่วยุอินโดนีเซียโดยการส่งเรือประมงและเรือคุ้มกันจำนวนหลายร้อยลำเข้าไปยังน่านน้ำรอบเกาะนาทูนา (Natuna Island) ของอินโดนีเซีย ทางการจีนเตือนว่าผู้ใดก็ตามที่ต่อต้านคำกล่าวอ้างอธิปไตยอันน่าขันของจีนเหนือทะเลจีนใต้นั้น “จะต้องประสบกับความล้มเหลว”
ในบทความยังกล่าวว่า ไทยเองก็เคยได้รับประสบการณ์จากการกระทำของจีนทางสิ่งแวดล้อมจากภัยแล้งที่รุนแรงเป็นประวัติการณ์ในแม่น้ำโขง ซึ่งขัดกับคำมั่นที่จีนเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะแบ่งปันทรัพยากรน้ำที่อุดมสมบูรณ์ให้กับประเทศปลายน้ำ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เรากลับเห็นหลักฐานว่าการสร้างเขื่อนจำนวนมากที่ต้นน้ำของจีนทำให้บริษัทผลิตไฟฟ้าพลังน้ำสามารถควบคุมการไหลของน้ำมายังปลายน้ำเพื่อผลประโยชน์ที่มากขึ้น ระดับน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งปัจจุบันลดลงต่ำสุดในรอบทศวรรษ
นอกจากนี้บทความดังกล่าวยังชี้ว่า การกระทำของทางการจีนในทะเลจีนใต้สะท้อนถึงความเพิกเฉยต่อสิทธิอธิปไตยของชาติอื่นโดยสิ้นเชิง การห้ามทำประมงและการคุกคามเรือในทะเลตามอำเภอใจของจีนทำให้กลุ่มประเทศอาเซียนไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรนอกชายฝั่งของตน รวมไปถึงน้ำมันและก๊าซมูลค่าประมาณ 2.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และพื้นที่การประมงที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งหมดนี้นับเป็นมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน เช่นเดียวกับกระแสชีวิตของชุมชนชายฝั่งทะเล และความเป็นอยู่ของประชากรอาเซียนหลายล้านคน
ทั้งนี้เอกอัครราชทูตสหรัฯยังกล่าวว่า ต้นตอของการกระทำเหล่านี้ทั้งหมดคือความเชื่อของจีนที่ว่า “อำนาจสร้างความชอบธรรม” และจีนไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใด ๆ ทางการจีนใช้การบีบบังคับทางเศรษฐกิจกับประเทศที่เล็กกว่าหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยให้ผลิตผลทางการเกษตรที่นำเข้าจากฟิลิปปินส์เน่าเสียที่ท่าเรือของจีนเพื่อประท้วงที่ทางการฟิลิปปินส์เรียกร้องให้ใช้กระบวนการอนุญาโตตุลาการตัดสินประเด็นทะเลจีนใต้ การคว่ำบาตรนอร์เวย์เนื่องจากคณะกรรมการโนเบลตัดสินมอบรางวัลสาขาสันติภาพให้แก่นายหลิว เสี่ยวโป หรือการตัดขาดการค้ากับเกาหลีใต้ที่ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ THAAD เพื่อยับยั้งการทดสอบยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ทั้งหมดนี้ทำให้ทัศนคติการมองโลกของจีนเป็นที่ประจักษ์ เช่นเดียวกับคำกล่าวของนายหยาง เจียฉือ นักการทูตแนวหน้าของจีน ต่อบรรดานักการทูตอาเซียนในปี 2553 ที่ว่า “จีนเป็นประเทศใหญ่และประเทศอื่น ๆ เป็นประเทศเล็ก และนั่นเป็นความจริง”
นายไมเคิลแสดงความเห็นว่า การกระทำของทั้งหมดของจีนที่กล่าวมานั้นแสดงถึงทัศนคติของจีนต่อพหุภาคีนิยม คำกล่าวข้างต้นของนายหยาง เจียฉือ เกิดขึ้นระหว่างการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) ซึ่งเป็นเวทีเพื่อการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศโดยไม่คำนึงถึงอำนาจทางการทหารหรือเศรษฐกิจ เรายังสามารถเห็นทางการจีนบ่อนทำลายเวทีระดับพหุภาคีในลักษณะดังกล่าว รวมถึงหลักการที่เวทีเหล่านี้ยึดถือ ไม่ว่าจะเป็นการค้าที่เสรีและเป็นธรรม ความโปร่งใส ความเปิดกว้าง หรือการเคารพหลักนิติธรรม จากการกระทำของจีนต่อองค์การการค้าโลก องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ องค์การตำรวจสากล และสหประชาชาติอีกด้วย
"กฎหมายและบรรทัดฐานระหว่างประเทศได้นำมาซึ่งความมั่งคั่งอย่างมหาศาลในเอเชียตะวันออกตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับหลายภูมิภาคทั่วโลก การส่งเสริมระเบียบที่เสรี เปิดกว้าง และยึดมั่นในกฎกติการะหว่างประเทศ ตลอดจนการธำรงไว้ซึ่งสิทธิอธิปไตยของทุกรัฐ ไม่ว่ารัฐเหล่านั้นจะมีขนาด อำนาจ และศักยภาพทางการทหารเท่าใดก็ตาม จะทำให้มั่นใจได้ว่าความมั่งคั่งนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในอีกครึ่งศตวรรษข้างหน้า" นายไมเคิลกล่าวในบทความ