อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบามา ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว BBC โดยได้มีการพูดคุยถึงปัญหาที่ชาวอเมริกันกำลังเผชิญในปัจจุบัน หนึ่งในนั้นคือปัญหาการแบ่งแยกในสังคมที่อดีตประธานาธิบดีชี้ว่าได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยโอบามาเชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะสามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ แต่ก็เป็นได้เพียงแค่จุดเริ่มต้นของกระบวนการแก้ปัญหาเท่านั้น

โอบามายังกล่าวต่อด้วยว่าการจัดการกับปัญหาของบ้านเมืองที่แตกออกเป็นสองขั้วไม่สามารถทำได้สำเร็จด้วยการหวังพึ่งการตัดสินใจของนักการเมืองเท่านั้น เพราะสิ่งสำคัญที่ต้องเกิดขึ้นก็คือ "การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง" และ "การรับฟังซึ่งกันและกันของประชาชน" อันจะสามารถนำไปสู่การมีความเห็นตรงกันกับ "ความจริงชุดเดียวกัน" แล้วจึงค่อยถกเถียงกันว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ

โอบามาชี้ว่าเขามองเห็น ความหวังจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้ซึ่งมีทัศนคติที่มีความไม่เดียงสาและเท่าทันโลก เขาจึงอยากที่จะผลักดันให้กลุ่มคนรุ่นใหม่นั้น ฟูมฟักการมองโลกในแง่ดีอย่างรู้ทัน เชื่อมั่นว่าโลกสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และจงเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น

สาเหตุของการแบ่งแยกในสังคมอเมริกัน

ความโกรธแค้นและความไม่พอใจระหว่างผู้คนในถิ่นห่างไกลและผู้คนในเมืองใหญ่ กลุ่มผู้อพยพ ความไม่ยุติธรรม ความไม่เท่าเทียม ตลอดจน "ทฤษฎีสมคบคิดที่บ้าคลั่ง" ถูกขยายความเป็นวงกว้างโดยสำนักข่าวที่มีอยู่มากมายในปัจจุบัน และถูกทำให้แพร่กระจายอย่างรวดเร็วด้วยโซเชียลมีเดีย ทั้งหมดนี้คือสาเหตุสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสร้างการแบ่งแยกในสังคมให้เกิดขึ้น

"เรามีความแบ่งแยกอย่างมาก และแน่นอนว่ามันมากกว่าในสมัยที่ผมลงชิงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อปี 2007 ก่อนที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งในปี 2008" โอบามากล่าว

โอบามาเชื่อว่าความแบ่งแยกที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นในสังคมส่วงหนึ่งมีสาเหตุมาจากการกระทำของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เพราะนั่นส่งผลดีต่อการเมืองของทรัมป์ ขณะที่การแพร่กระจายข่าวลวงบนโลกออนไลน์คืออีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ผู้คนแตกแยก เพราะเมื่อเกิดเหตุการแบบนั้นขึ้น ความจริงแทบไม่มีความสำคัญอีกต่อไป

"ผมเชื่อว่ามันต้องถึงจุดที่เราต้องใช้ทั้งกฎเกณฑ์และมาตรฐานบางอย่าง เพื่อที่จะพาเรากลับไปยังจุดที่สามารถมองเห็นความจริงชุดเดียวกันได้ หลังจากนั้นเราจึงเริ่มการถกเถียงว่าเราจะลงมือทำอะไรกับความจริงนั้นต่อไป" อย่างไรก็ตามเขายังชี้ด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ แม้ปัจจุบันเราจะมีกระบวนการตรวจสอบความจริง หรือ "Fact Checking" แต่กว่าจะถึงเวลาที่ความจริงถูกเปิดเผย ข่าวลวงและข้อมูลผิดๆ ก็ได้กระจายไปทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว