ไม่พบผลการค้นหา
'พระชิษณุพงษ์ ไพรพารี' แก๊งแครอท ในม็อบราษฎร เผยถูกบีบให้ลาสิกขา โดยการไล่ออกจากวัด เหตุเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองในช่วงปีที่ผ่านมา ชี้อำนาจรัฐเผด็จการศักดินากำลังเข้าควบคุม และใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ

มีรายงานว่า พระชิษณุพงษ์ ไพรพารี หรือ พระเอิร์ท พระภิกษุสังกัด วัดเจียงอีศรีมงคลวราราม อำเภอเมือง จังหวัดศรีษะเกษ ซึ่งได้เข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มราษฎร และกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆ ตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา ได้ลาสิกขาแล้ว

สาเหตุของการลาสิกขาครั้งนี้ เกิดจากการได้รับหนังสือคำสั่งจากเจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม เรื่อง ให้ออกไปเสียจากวัด ซึ่งตามกฎหมาย หากพระภิกษุหรือสามเณรตามกฎหมายถูกไล่ออกจากวัดที่สังกัด จะมีเวลาเพียง 3 วันในการหาวัดสังกัดใหม่ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นภิกษุเร่ร่อนผิดกฎหมาย หากพบเจอสามารถจับสึกและดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที

โดยคำสั่งดังกล่าวลงวันที่ 6 พ.ค. 2564 ใจความว่า ด้วยปรากฎในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พระชิษณุพงษ์ ได้ร่วมการชุมนุม และขึ้นเวทีของกลุ่มชุมนุมเพื่อทำการปราศรัย หลายวาระ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสมณสารูป เป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบด้านลบต่อพระพุทธศาสนา ต่อวัดต้นสังกัด และคณะสงฆ์โดยรวม นอกจากนี้ยังเป็นการขัดคำสั่งของเถรสมาคม เรื่อง ห้ามพระภิกษุสารเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง พ.ศ. 2538 ด้วย

เจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคลวรารามจึงได้มีหนังสือเรียกกลับและให่้่มารายงานตัว 2 วาระแล้ว และขอให้งดพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทางการเมือง แต่ยังปรากฎในสืท่อสังคมออนไลน์ว่า พระชิษณุพงษ์ยังคงเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองอีก ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

ในการนี้เจ้าอาวาสวัดเจียงอีศรีมงคล ได้พิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งให้ท่านออกไปเสียจากวัด และพ้นจากสังกัดวัดเจียงอีศรีมงคลวราราม ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. 2564 เป็นต้นไป

EE5A9BB8-DB55-46FE-AD76-73E58F161E15.jpeg

ทั้งนี้เมื่อที่ 24 มิ.ย. สองวันก่อนการลาสิกขา พระชิษณุพงษ์ ได้แสดงความเห็นถึงหนังสือคำสั่งไล่ออกจากวัดว่า

เมื่อคำสั่งนี้มาถึงตัวก็ต้องใช้เวลาอยู่นานในการตัดสินใจ โดยปกติแล้วเมื่อพระภิกษุหรือสามเณรตามกฎหมายเมื่อถูกไล่ออกจากสังกัดวัดจะมีเวลาอยู่ 3 วันในการหาสังกัดวัดใหม่ หาไม่ก็จะกลายเป็นภิกษุเร่ร่อนผิดกฎหมาย หากพบเจอสามารถจับสึกและดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที นี่เป็นเกมที่องค์กรศาสนาของรัฐใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมภิกษุแตกแถวที่ไม่ก้มหัวทำตามกฎที่องค์กรเหล่านี้สร้างขึ้นมาเองนอกเหนือวินัยสงฆ์ตามพุทธบัญญัติ เพื่อการควบคุมนักบวชให้ต้องสนับสนุนความมั่นคงของรัฐ ดั่งเสาไว้ค้ำยันชนชั้นศักดินา และกำจัดผู้ที่เห็นต่างอยู่เสมอมา

หากยังขัดขืนยืนยันเพศสมณะของตน เครื่องมือทางการเมืองต่อไปคือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 208 ว่าด้วยเรื่องการแต่งกายเลียนแบบนักบวชที่ไม่เคยใช้กับนักบวชศาสนาอื่นเลย นอกจากพระภิกษุสามเณรพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นกฎหมายทางโลกโดยตรงในการกำจัดพระที่ออกมาเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งหากยกรัฐธรรมนูญหมวด 3 มาตรา 31 ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและเสรีภาพในการปฏิบัติ อันไม่ส่งผลต่อความเป็นภัยของรัฐนั้น นั่นหมายความว่ากฎหมายอาญามาตรานี้ถือว่าขัดกันกับรัฐธรรมนูญอย่างเห็นได้ชัด เป็นการกีดกั้นสิทธิและเสรีภาพของศาสนิกโดยสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ

ไม่จำเป็นต้องอธิบายเพิ่มเติมในเรื่องของการไม่บังคับใช้กฎเดียวกันอย่างเสมอภาคของผู้อยู่ภายใต้กฎเดียวกันของพระที่แสดงออกทางการเมืองทั้งฝ่ายที่ต่อต้านหรือสนับสนุนระบอบศักดินา ภายใต้คำสั่งมหาเถรสมาคมเรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องทางการเมือง ที่ถูกนำมาใช้กำจัดพระที่ออกมาเรียกร้องต่อต้านความไม่เป็นธรรมภายในสังคมเพียงฝ่ายเดียว ในทางกลับกันฝั่งที่ออกมาสนับสนุนระบอบนี้หลายรูปกลับได้ยศได้ตำแหน่ง

การที่สำนักงานพระพุทธศาสนาและมหาเถรสมาคมใช้กฎหมายอยุติธรรมเป็นเครื่องมือกำจัดผมในครั้งนี้ ผมไม่จำเป็นต้องดื้อแพ่งครองสมณเพศต่อไปกับเกมที่ผ่านการออกแบบมาอย่างรอบด้านในการกำจัดพระที่เป็นภัยต่อระบอบศักดินา แต่เรื่องที่ผมออกมาพูดและผลักดันนั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อศาสนาพุทธหรือศาสนาใดศาสนาหนึ่งให้มีอำนาจโดยชอบธรรมผ่านอำนาจรัฐ ดังนั้น ถึงแม้ว่าพวกท่านจะพรากเอาสมณะเพศออกไป แต่ก็ไม่อาจพรากเอาความเป็นพุทธบริษัทได้ และการเปิดเผยความจริงของอำนาจรัฐกับศาสนาจะยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคฤหัสถ์แล้วก็ตาม 

ขอให้การลาสิกขาครั้งนี้ของกระผมเป็นเครื่องยืนยันให้สังคมและศาสนิกชนได้รู้ว่ายังมีกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอีกมากมายที่ถูกสร้างขึ้นมาป้องกันระบอบศักดินานี้อย่างครอบคลุม ที่บังคับใช้ไปถึงแม้แต่การกีดกันเสรีภาพทางศาสนาเองก็ไม่ได้มีเสรีภาพในการแสดงออกถึงแม้จะเป็นเรื่องที่สมควรทำก็ตาม

พระชิษณุพงษ์ให้สัมภาษณ์กับวอยซ์ ด้วยว่า ช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างที่ทราบกันดีว่า การออกมาแสดงออกทางการเมืองไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจขององค์กรศาสนาของรัฐที่ต้องการควบคุมความประพฤติของนักบวชให้เป็นไปตามการตอบสนองนโยบายรัฐ และตนเองที่ออกมาเรียกร้องทางการเมืองอย่างชัดเจนดังภาพที่ปรากฎตามสื่อก็ถูกตักเตือนไป 2 ครั้ง แต่ยังคงยืนยันทำในสิ่งที่ควรทำ โดยไม่สนใจการตักเตือนที่ผ่านมา จนส่งผลให้ครั้งสุดท้ายโดนไล่ออกจากสังกัด และกลายเป็นพระปลอมตามกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมโดยชัดเจน

"หากจะหาสังกัดวัดใหม่วังวนของการโดนคุกคามต่อเจ้าอาวาสจะเป็นอย่างนี้ไปอย่างไม่มีสิ้นสุด สุดท้ายแล้วผมจึงตัดสินใจลาสิกขาเพื่อให้เป็นตัวอย่างให้สังคมได้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า แม้แต่ศาสนาเองอำนาจรัฐก็ได้ควบคุมและถูกใช้อย่างเผด็จการ เมื่อวันที่ศาสนามีเสรีภาพบริสุทธิ์ด้วยตัวศาสนาเองอย่างแท้จริง นักบวชที่เข้าข้างอำนาจนิยมจะไม่มีทางอยู่ได้ เพราะคุณจะต้องอาศัยการเลี้ยงดูจากประชาชน"