สวัสดีปีใหม่ 2563 ช่วงปีที่ผ่านมา เป็นปีที่คิดว่า เราผ่านการเลือกตั้ง ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพ แต่กลายเป็นว่า มีมากจนมีพรรคการเมือง มาสร้างวาทกรรม ให้เกิดความเกลียดชังคนในชาติ จาบจ้วง ดูถูกประเทศตนเอง ชักศึกเข้าบ้าน รวมทั้งใช้เสรีภาพที่จะอยู่เหนือกฏหมาย จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนต้องช่วยกัน เผชิญปัญหาใหม่ของชาติที่เรียกว่า 'ลัทธิชังชาติ'
ขอให้ทุกท่านจงมีความสุขความเจริญ อย่าหยุดนิ่ง จนกลายเป็นว่า ยินยอมให้พวกชังชาติ มาทำร้ายประเทศของเรา ช่วยกันแสดงออกถึงความจริง จะทำให้ประเทศของเราฟันฝ่าวิกฤตินี้ไปได้
สำหรับวรงค์แล้ว "ลัทธิชังชาติ" เป็นเสมือน "ปัญหาใหม่ของชาติ" และเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่า ยากกว่า ท้าทายกว่า "ระบอบทักษิณ"
"อันนี้มันยากกว่าระบอบทักษิณ เพราะมันต้องใช้ความรู้ในการต่อสู้ สมัยสู้กับระบอบทักษิณ เรื่องทุจริตเราต้องเอาหลักฐานมาสู้ แต่วันนี้เราต้องใช้ความเชื่อสู้ ต้องใช้ความรู้ไปสู้กับเขา ซึ่งมันยากกว่า มันต้องใช้ความเชื่อในตัวเองว่าสิ่งนั้นมันไม่ถูกต้อง ให้ประชาชนเห็นคล้อยตามเราว่าสิ่งนั้นไม่ถูก เช่นการดูถูกประเทศชาติของเรากันเอง มันไม่ถูก การไม่เอารากเหง้าของประเทศ แบบนี้มันไม่ถูก เรื่องพวกนี้เป็นการสร้างความเชื่อสู้กัน ซึ่งมันยากกว่า"
เป็นที่มาให้ 'วรงค์' จับมือ 'ลุงกำนัน-เอนก เหล่าธรรมทัศน์' เดินสายจัดเวทีปราศรัย ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด เพื่อชวนประชาชนลุกขึ้นปราบลัทธิชังชาติ
ไม่เพียงแต่การรณรงค์ผ่านเวทีปราศรัย-เวทีสัมมนาพรรคการเมือง แต่ข้อเสนอของวรงค์ไปไกลถึงขนาดเสนอให้มีกฎหมายต่อต้านลัทธิชังชาติ (Anti-Patriotism Act)
เครือข่าย กปปส. เดิม ไม่เพียงจุดวาทกรรม "ลัทธิชังชาติ" สู่พื้นที่สาธารณะ แต่ยังป้ายสีต่อเนื่องว่าเป็น "วายร้ายตัวใหม่"
เหมือนที่กำนันสุเทพ ย้ำว่า "ยืนยันว่าตนไม่เคยคิดจะกลับมาทำงานการเมืองเลย เพราะตอนเดินขบวนบอกพี่น้องประชาชนแล้วว่า จะไม่สมัครผู้แทน จะไม่กลับไปมีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว พอแล้ว แต่ต่อมาเห็นว่า ที่เราลงทุนลงแรงต่อสู้มาเราไม่สามารถวางใจหรือปล่อยมือได้ บ้านเมืองยังไม่เรียบร้อยปลอดภัย วายร้ายตัวเก่าจบไปแล้ว มีวายร้ายตัวใหม่มาอีก ตนไม่ได้บอกว่าเป็นใคร แต่มันน่ากลัวมาก กำแหงมาก มันแสดงท่าทีชัดเจนว่า ไม่เอาอะไรสักอย่าง ไม่เอาขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมอะไรทั้งนั้น และมีคนบ้าตามมันเยอะอีกต่างหาก น่ากลัวมาก ตนเลยต้องตัดสินใจ เพราะไม่รู้จะพึ่งใคร"
"เราต้องการให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่ประเทศไทยเป็นศูนย์รวมใจของประชาชน ไม่ว่าจะศาสนาใดก็อยู่ร่วมกันได้ เราต้องแสดงออกซึ่งความรักชาติ ไม่ใช่ชังชาติ"
ไม่เพียงโจมตีไปยัง 'ธนาธร-อนาคตใหม่' ในฐานะผู้นำของ "ลัทธิชังชาติ" และเป็น "วายร้ายตัวใหม่"
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2562 เอนกได้ให้สัมภาษณ์-ปราศรัยโดยยก 'ทักษิณ' เป็น "ตัวร้ายตัวเดิม" และ ยก 'ธนาธร' เป็น "ตัวร้ายตัวใหม่"
"เราต่อสู้อย่างหนักครั้งนี้ เพื่อไม่ให้ตัวร้ายตัวเก่ากลับมาบริหารประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกนี้เคยสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองมากมายเหลือคณานับ โดยเฉพาะเรื่องทุจริต แล้วยังหลบหนีคดีนอกประเทศ ปล่อยให้ลูกน้องติดคุกหลายคน ขณะที่เจ้าตัวยังเย้ยหยันหลักนิติธรรมอยู่นอกประเทศ ล่าสุด ทษช. ซึ่งเป็นพรรคแบงก์ร้อย พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อำนาจ แม้จะเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่กับระบบประชาธิปไตยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด"
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดถึง และแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งธรรมดา และไม่ได้มีแค่ตัวร้ายตัวเดิม แต่มีตัวใหม่ปรากฏด้วย คือหัวหน้าพรรคที่อายุประมาณ 40 ปี ที่ดูแล้วเหมือนคนรุ่นใหม่ แต่ไม่ได้คิดว่าเป็นแบบนั้น ทั้งคำพูดและการกระทำของเขา ดูผิวเผินเมื่อได้ดูจากคลิปแล้ว เขาอยู่กับฝ่ายสีแดง และมีประวัติที่เคยทำเรื่องร้ายแรง เคยสนับสนุนวารสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นวารสารที่ทั้งบรรณาธิการและผู้เขียนเฝ้าแต่จะวิพากษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ แม้มีวิชาการนำหน้า แต่ในใจของเขาน่าสงสัย ซึ่งในวันนี้เขามาตั้งพรรคการเมือง ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค เสนอให้ยกเลิกมาตรา 112"
"พรรคนี้ไม่ใช่พรรคเสรีนิยมหรือพรรคก้าวหน้า เนื้อหาเป็นพรรคหยาบคาย และเทิดทูนหัวหน้าพรรคประดุจเทพ ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปไตย แต่เป็นพรรคบูชาบุคคล โดยเนื้อหาแล้วไม่ต่างจากตัวร้ายตัวเก่า หลอกประชาชนคนซื่อ วัยใสที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ซึ่งได้แต่หวังว่าคนจะเห็นมากขึ้นว่าพรรคนี้ธาตุแท้เป็นอย่างไร การเลือกตั้งในครั้งนี้ เราต้องทำเพื่อไม่ให้ตัวร้ายตัวเก่าและตัวใหม่ขึ้นมามีอำนาจเพื่อทำอะไรร้ายแรง การเมืองครั้งนี้ค่อนข้างซับซ้อน ต้องวิเคราะห์ให้ดี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากที่มีพรรค รปช.เกิดขึ้น"
"การทำการเมืองเที่ยวนี้ไม่มีแพ้ เพราะเป็นการทำเพื่อแผ่นดิน เพื่อบ้านเมือง และเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน สถาบันดั้งเดิมเป็นของสูงส่ง ขนบธรรมเนียมเป็นสิ่งดีงาม ดังนั้น เราจะปฏิรูป ไม่ปฏิวัติ ไม่โค่นล้ม ไม่ทำการเมืองด้วยความชิงชัง มีแต่จะทำให้เกิดการเมืองแห่งความรู้รักสามัคคี"
"เราจะเป็นพรรคของพลเมือง แต่พลเมืองนี้จะต้องเป็นพสกนิกรที่รักภักดีและปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะต้องปกป้องสิ่งดีงามทั้งหมดที่บรรพชนไทยได้ทำเอาไว้ อย่าให้ใครมากวาดมันทิ้ง...ข้ามศพพวกเราไป ข้ามศพพวกเราไป"
คำแนะนำด้วยความปรารถนาดี ก่อนเดินเครื่องสู่ปี 2563 จึงจำเป็นต้องฝากไว้สองเรื่อง
เรื่องที่หนึ่งคือ เครือข่าย กปปส.เดิม จำเป็นต้องหยุดการป้ายสีด้วยวาทกรรม "ลัทธิชังชาติ-วายร้ายตัวใหม่-ตัวร้ายตัวใหม่" และหันมาโต้เถียงผ่านการเมืองในระบอบรัฐสภา มิเช่นนั้นแล้วจะย่ิงเป็นการสร้างความเกลียดชังในทางการเมืองให้เพิ่มพูนขึ้น และทำให้การหาฉันทามติร่วมกันสักเรื่องเป็นไปได้ยากขึ้น
เรื่องที่สองคือ เครือข่าย กปปส. เดิม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตระหนักถึงผลกระทบ-ความเสียหายร้ายแรงที่ตนสร้างไว้ให้กับประเทศ โดยเฉพาะการล้มเลือกตั้ง-ส่งบัตรเชิญคณะรัฐประหาร เป็นที่มาของการแช่แข็งประเทศไว้กับระบอบเผด็จการยาวนานตั้งแต่ปี 2557 และเดินหน้าสืบทอดอำนาจต่ออีกในปี 2562
เว้นแต่ โต้เถียงด้วยหลักการ-เหตุผล กับ อนาคตใหม่ไม่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ จึงจำเป็นต้องเร้าอารมณ์สร้างความเกลียดชังอยู่ตลอดเวลา ด้วยหวังเร่งอุณหภูมิสังคม กำจัดธนาธร-อนาคตใหม่
เว้นแต่ ไม่เคยมอง-ไม่เคยตระหนักถึงความเสียหายร้ายแรงที่ตัวเองได้เคยสร้างไว้ให้กับประเทศชาติ โดยเฉพาะการปิดคูหาเลือกตั้ง มองคนไม่เท่ากัน จึงเที่ยวประณามอีกฝ่ายว่าเป็น "วายร้ายตัวใหม่" จนลืมนึกถึงการกระทำของตัวเองเมื่อเก่าก่อน
เริ่มต้นปีใหม่ จึงขอชวนให้ลดความเกลียดชัง-เพิ่มการฟังคนที่เห็นต่างไปจากเราให้มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา!!