เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) สำนวนที่ 6 หมายเลขดำ อท.280/2561 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 เป็นโจทก์ ฟ้องนายพนม ศรศิลป์ อายุ 61 ปี อดีต ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (ผอ.พศ.) , นายบุญเลิศ โสภา อายุ 54 ปี อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายณรงค์เดช ชัยเนตร อดีต ผอ.กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา , นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี อายุ 50 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองส่งเสริมงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83,86 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2561 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ปีงบประมาณ 2556-2557 สำนักงาน พศ. ได้รับงบประมาณตามแผนงานงบประมาณ เงินอุดหนุนการปฏิบัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม เงินอุดหนุนการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปรรยัติธรรม เงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี มี ผอ.พศ.เป็นผู้มีอำนาจอนุมัติให้จ่ายเงินงบประมาณดังกล่าว
โดยประมาณต้นปี 2556 จำเลยที่ 2 ได้ไปพบเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เรื่องให้เงินอุดหนุนกับวัดบางอ้อยช้างจำนวน 2 ล้านบาท แต่ทางวัดบางอ้อยช้างจะต้องคืนเงินให้สำนักงาน พศ.จำนวน 1.6 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 อ้างว่าจะ นำเงินไปช่วยเหลือวัดอื่นๆเจ้าอาวาสวัดเห็นว่าจะได้รับเงินมาบูรณะวัดที่กำลังทรุดโทรม เชื่อว่าเงินที่คืนให้กับจำเลยที่ 2 ไปสามารถช่วยทำประโยชน์แก่วัดต่างๆได้ จึงลงลายมือชื่อขอรับเงินงบประมาณตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้เลือกวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตจ.นนทบุรีตามที่เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างเสนอ โดยจำเลยที่ 2 ได้ให้เจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างดำเนินการแทนวัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตเพื่อให้ได้รับเงินอุดหนุนดังกล่าว
ต่อมาวันที่ 12 ก.พ.2556 - 26 กันยายน 2557 จำเลยทั้งสี่กับพวกที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันวางแผนสมคบกันทุจริตอนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการเงินอุดหนุนการปริยัติธรรมและครอบครัวอบอุ่นด้วยพระธรรม , โครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม , โครงการเงินอุดหนุนการจัดงานวันสําคัญทางพระพุทธศาสนา และโครงการเงินอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลี เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงาน พศ.
โดยวันที่ 12 ก.พ. 2556 จำเลยที่ 2 อนุมัติการโอนเงินอุดหนุนจำนวน 2 ล้านบาทให้วัดบางอ้อยช้างและได้รับเงินคืนไปจำนวน 1.6 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตนำไปใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหายแก่สำนักงาน พศ.
วันที่ 2 เม.ย.2556 จำเลยที่ 1-3 ขออนุมัติเงินเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการผลิตสื่อการเรียนการสอนพระปริยัติธรรมใช้เงินงบประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อผลิตสื่อการสอนประกอบการเรียนการสอนธรรมศึกษาแก่วัดบางอ้อยช้าง ทั้งที่จำเลยที่ 1-3 รู้อยู่แล้วว่าวัดบางอ้อยช้างไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา จากนั้นเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างได้โอนเงินคืนกลับให้จำเลยที่ 2 จำนวน 8 ล้านบาทโดยจำเลยที่ 1-3 ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณดังกล่าวไป
วันที่ 1 พ.ย.2556 จำเลยที่ 1 ,2 ,4 ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาประจำปีงบประมาณ 2557 ให้แก่วัดบางอ้อยช้างจำนวน 5 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญจำนวน 4 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขตจำนวน 4.5 ล้านบาทโดยที่จำเลยที่ 1, 2, 4 และนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีต ผอ.พศ. (ยังหลบหนีคดี)ทราบอยู่แล้วว่าการพิจารณาอนุมัตเงินดังกล่าวไม่ถูกต้องตามระเบียบและวิธีการงบประมาณเนื่องจากเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาไม่อยู่ในกิจกรรมจำนวน 8 กิจกรรมของแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้เงินงบประมาณ และหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้ขอรับเงินคืนจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4 ล้านบาท , วัดศรีเรืองบุญจำนวน 3.2 ล้านบาท , วัดใหม่ผดุงเขต 3.6 ล้านบาท รวม10,800,000 บาท โดยจำเลยที่ 1,2,4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ.ได้เบียดบังเงินงบประมาณดังกล่าวไปโดยทุจริต
วันที่ 23 ก.ย.2557 จำเลยที่ 1, 2 ทำบันทึกข้อความเสนอนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ขออนุมัติเบิกจ่ายเงินงบประมาณอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม-บาลีประจำปีงบประมาณ 2557 แก่วัดบางอ้อยช้างจำนวน 1.5 ล้านบาท แล้วจำเลยที่ 2 ได้ไปขอรับเงินคืนจำนวน 1.3 ล้านบาท รวมเงินงบประมาณที่สำนักงาน พศ. โอนให้กับวัดบางอ้อยช้าง , วัดศรีเรืองบุญ , วัดใหม่ผดุงเขต เป็นเงินทั้งสิ้น 28 ล้านบาท และมีการรับเงินคืนไปรวม 21,700,000 บาท
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานของทั้งสิงฝ่ายแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) 157 (เดิม) 162 (4 ) (เดิม) ประกอบมาตรา 83 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) 157 (เดิม) 162 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 พพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2542 มาตรา 172 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
พิพากษา จำคุกนายพนม จำเลยที่ 1 กระทงแรก 14 ปี กระทงที่ 2 จำคุก 15 ปี และกระทงที่ 3 อีก 6 ปี รวม 3 กระทงจำคุก 35 ปี
จำคุกนายบุญเลิศ จำเลยที่ 2 กระทงแรก 6 ปีกระทงที่ 2 จำคุก 14 ปีกระทงที่ 3 จำคุก 15 ปีและกระทงที่ 4 จำคุก 6 ปี รวม 4 กระทง จำคุก 41 ปี
นายณรงค์เดช จำเลยที่ 3 จำคุก 14 ปี และนายพัฒนา จำเลยที่ 4 จำคุก 10 ปี
ทางนำสืบของพวกจำเลย เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 23 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 2 จำคุกไว้ 27 ปี 4 เดือนจำเลยที่ 3 คงจำคุก 9 ปี 4 เดือนและจำเลยที่ 4 จำคุกไว้ 6 ปี 8 เดือน แลัให้จำเลยที่ 2 ชดใช้เงินจำนวน 1.6 ล้านบาทคืนแก่ สำนักงาน พศ.ผู้เสียหาย ให้จำเลยที่ 1 ,2,4 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 10,800,000 บาท กับให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1,300,000 บาทคืนแก่ผู้เสียหายอีกด้วย และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.253/ 2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.254/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.257/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ 32/2562 ของศาลนี้
นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.254/2561 , คดีอาญาหมายเลขดำที่ 32/2562
นับโทษจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.257/2561
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า วันเดียวกันนั้นศาลอาญาคดีทุจริตฯ ยังได้อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตการจัดสรรเงินงบประมาณสำนักงาน พศ. สำนวนที่ 7 ด้วยในคดีหมายเลขดำ อท.281/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพนม อดีต ผอ.พศ. , นายบุญเลิศอดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา พศจ.ลำปาง , นายแก้ว ชิดตะขบ อายุ 54 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา , นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร อายุ 51 ปี อดีตนักวิชาการศาสนาชำนาญการ กองพุทธศาสนศึกษา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ , ทำ , จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่น โดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์สินนั้นเสีย , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารฯ ทำการรับรองหลักฐานเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 147,157,162 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
โดยโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2561 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2556 จำเลยที่ 1-4 ได้ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรม ต่อนายนพรัตน์ ผอ.พศ.(ขณะนั้น) ให้สนับสนุนงบประมาณการจัดการศึกษาพระปริยติธรรมให้แก่สำนักเรียนที่มีความพร้อมด้านการบริหารจัดการจำนวน 15 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 5 ล้านบาท และทางเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้างได้คืนเงินให้กับจำเลยที่ 2 ไป 4 ล้านบาท จำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ อดีต ผอ.พศ. ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริต
วันที่ 26 ก.ค. 2556 จำเลยที่ 1 และถึงที่ 4 ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมโดยใช้งบประมาณ 8 ล้านบาทให้แก่วัดใหม่ผดุงเขต 2.5 ล้านบาท วัดศรีเรืองบุญ 3 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมาขอรับเงินคืนไปจากวัดใหม่ผดุงเขต 2 ล้านบาทและวัดศรีเรืองบุญ 2.4 ล้านบาท
วันที่ 6 ส.ค.2556 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมต่อนายนพรัตน์จำนวน 9 ล้านบาทมอบให้แก่วัดศรีเรืองบุญ วัดใหม่ผดุงเขตและวัดอ้อยช้างวัดละ 2 ล้านบาท ก่อนที่จำเลยที่ 2 มาขอรับเงินคืนไปวัดละ 1.6 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 23 ก.ย.2556 จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันขออนุมัติและเบิกจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมจากนายนพรัตน์ 20 ล้านบาท ให้แก่วัดบางอ้อยช้าง 6 ล้านบาทวัดศรีเรืองบุญ และวัดใหม่ผดุงเขตวัดละ 3 ล้านบาททั้งที่พวกจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าวัดทั้งสามไม่มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาในสังกัดหรือตั้งอยู่ จากนั้นจำเลยที่ 2 ได้มาขอรับเงินคืนไปจากวัดบางอ้อยช้างจำนวน 4.8 ล้านบาท วัดศรีเรืองบุญและวัดใหม่ผดุงเขตวัดละ 2.4 ล้านบาทโดยจำเลยที่ 1-4 และนายนพรัตน์ร่วมกันเบียดบังเงินงบประมาณไปโดยทุจริตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตนสร้างความเสียหายแก่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)
จำเลยที่ 1-4 ให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดี ระหว่างพิจารณาคดีจำเลชทั้งหมดถูกคุมขังในเรือนจำ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความแลัพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามฟ้อง เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ฯ ตาม ป.อ.มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด
พิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 4 กระทงๆแรก 9 ปี , กระทงที่ 2-3 กระทงละ 10 ปี เป็น 20 ปี , และกระทงที่ 4 จำคุกอีก 15 ปีรวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้นคนละ 44 ปี
ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ไว้คนละ 29 ปี 4 เดือนและให้จำเลยร่วมกันชดใช้เงิน 28,500,000 บาท คืนสำนักงาน พศ.ผู้เสียหายด้วย
พร้อมกับนับโทษของนายพนม อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท. 253/2561 , อท.254/2561, อท.257/2561 , อท.32/2562 , อท.280/2561 , อท.43/2562 ของศาลอาญาคดีทุจริตฯ นี้ด้วย
ส่วนนายบุญเลิศ อดีต ผอ.กองพุทธศาสนฯจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561,อท.280/2561, อท.32/2562 ของศาลนี้ด้วย
สำหรับนายแก้ว อดีตนักวิชาการกองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 3 และนางพรเพ็ญ อดีตนักวิชาการ กองพุทธศาสนศึกษา จำเลยที่ 4 ให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขดำ อท.254/2561 , อท.32/2562 ของศาลนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโทษจำคุกในส่วนของนายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ.จำเลยที่ 1 ที่ศาลมีคำพิพากษารวม 7 สำนวนการทุจริตงบ พศ.นั้นรวมจำคุกทั้งสิ้น 91 ปี 36 เดือนมูลค่าเสียหายที่ต้องร่วมกับพวกชดใช้คืนสำนักงาน พศ.ทั้งสิ้น 85,207,235 บาท
อย่างไรก็ตามนายพนม และจำเลยอื่นๆ ยังสามารถยื่นอุทธรณ์สู้คดีได้ตามกฎหมาย เนื่องจากในชั้นนี้เป็นเพียงการวินิจฉัยของศาลชั้นต้นเท่านั้น