ไม่พบผลการค้นหา
หน่วยงานของสหประชาชาติเตือนว่า เด็ก 117 ล้านคนทั่วโลก เสี่ยงต่อการติดโรคหัด เนื่องจากหลายประเทศได้ตัดลดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าวในขณะที่กำลังรับมือการระบาดของโควิด-19

องค์การอนามัยโลกและองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ ระบุว่าตอนนี้มี 24 ประเทศที่ได้ระงับโครงการการฉีดวัคซีนโรคหัดเอาไว้ชั่วคราวเพื่อให้ความสำคัญต่อการรับมือกับการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ก่อน ซึ่งหลายประเทศในจำนวนนี้กำลังรับมือกับการระบาดครั้งใหญ่ของโรคหัดอยู่แล้ว โดยเฉพาะบังกลาเทศ บราซิล สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซูดานใต้ ไนจีเรีย ยูเครนและคาซัคสถาน นอกจากนี้ยังมีอีก 13 ประเทศ ที่โครงการวัคซีนต้องชะงักจากโควิด-19 ซึ่งยูนิเซฟระบุว่าเด็กจำนวน 117 ล้านคนใน 37 ประเทศทั่วโลกอาจไม่ได้รับการฉีดภูมิคุ้มกันโรคหัดตามกำหนด 

โดยในแถลงการณ์ร่วม Measles & Rubella Initiative หรือ M&RI ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระดับโลกในการทำงานเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัดและโรคหัดเยอรมัน ที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกและยูนิเซฟระบุว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่การฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดยังต้องดำเนินต่อทั้งในช่วงระหว่างและหลังการระบาดของโควิด-19 โดย M&RI สนับสนุนความจำเป็นในการปกป้องชุมชนและบุคลากรทางการแพทย์จากโควิด-19

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเด็กๆ ควรถูกละเลยไปตลอด แถลงการณ์ยังระบุว่าหากจำเป็นต้องตัดสินใจระงับโครงการวัคซีนจากการระบาดของโควิด-19 ก็ขอเรียกร้องบรรดาผู้นำให้เพิ่มความพยายามในการติดตามเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน เพื่อให้เด็กกลุ่มเปราะบางที่สุดกลุ่มนี้สามารถได้รับวัคซีนได้เร็วที่สุดเมื่อถึงเวลาที่ทำได้ และถึงแม้ในช่วงการระบาดของไวรัสจะทำให้เกิดความต้องการใช้ระบบสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่แนวหน้าเป็นอย่างมาก แต่บริการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่รวมถึงวัคซีนโรคหัดก็เป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องชีวิต 

ทั้งนี้ โรคหัดเป็นหนึ่งในโรคที่ติดต่อได้ง่าย มีผู้ติดเชื้อราวๆ 20 ล้านคนต่อปี ส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี และถึงแม้ว่าจะมีวัคซีนพร้อมใช้งานและราคาไม่แพง แต่ผู้ป่วยโรคหัดก็เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

โดยเมื่อปี 2561 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัด 140,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กและทารก แต่องค์การอนามัยโลกก็ชี้ว่าโรคหัดเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ด้วยการให้ภูมิคุ้มกันอย่างทั่วถึง ซึ่งหมายถึงทารกและเด็กจะต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคในฐานะส่วนหนึ่งของบริการด้านสุขภาพพื้นฐาน 

อ้างอิง AFP/BBC/The Jakarta Post