นายอดิศร เพียงเกษ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เผยวันนี้ (4 ก.ย.2567) ถึงภาพรวมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า
‘การตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ผ่านการกลั่นกรองของคณะกรรมการกฤษฎีกาในการตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า คณะรัฐมนตรีจากทุกพรรคการเมืองได้ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างถี่ถ้วนแล้ว ส่วนตัวขอแสดงความยินดีกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่จะได้จัดทำนโยบายและแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อทำงานตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนกรณีมีผู้ร้องเรียนนายอดิศรมองว่า เป็นเรื่องธรรมดา เป็นสิทธิ แต่ขอให้เปิดโอกาสให้รัฐบาลซึ่งมาโดยชอบตามวิถีรัฐธรรมนูญ ผ่านการกลั่นกรองที่เข้มข้นได้ทำงานก่อน เพื่อผลักดันประเทศชาติไปสู่ความเจริญ
ส่วนกรณีที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้ง ครม.ชุดนี้ไม่ใช่ตัวจริง เป็นการนำบุคคลในครอบครัวมาดำรงตำแหน่งแทน หรือไม่ นายอดิศร ย้ำว่า การแต่งตั้งเป็นไปตามการกลั่นกรองเรื่องคุณสมบัติและจริยธรรมที่เข้มข้นเป็นพิเศษ โดยผู้ที่มาแทนคนเดิมก็มีการศึกษา มีประสบการณ์ เช่น กรณีบุตรสาวของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ก็จบกฎหมายจากลอนดอน มีการสั่งสมประสบการณ์จากบิดาอย่างใกล้ชิด จึงเชื่อมั่นว่าจะทำงานได้ และต้องให้โอกาสพิสูจน์ด้วยผลงาน อย่างไรก็ตามการทำงานของ ครม.ชุดนี้ ยืนยันว่าจะมีอายุการทำงานอย่างน้อย 3 ปี ยอมรับว่าอาจจะมีการร้องเรียนอยู่บ้างแต่ถือว่าเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย
ทั้งนี้ นายอดิศร ยังกล่าวถึง กรณีที่นายสุทิน คลังแสง หลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า เพิ่งได้ไปฉลองรางวัลสันติภาพโลกให้กับนายสุทิน เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถือเป็นรางวัลที่ประเทศสวีเดน มอบให้กับบุคคลที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจากพลเรือนที่ไม่ได้ควบตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่า การได้กลับมาทำงานในสภาของนายสุทิน ถือว่าได้กลับมาบ้าน เปรียบเป็นทองคำของฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะเดียวกัน เชื่อว่านายภูมิธรรม เวชยชัย ที่มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทนจะสามารถบริหารงานได้ และทำให้กองทัพเป็นกองทัพของประชาชน
ส่วนการทำงานของพรรคเพื่อไทยกับพรรคพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล นายอดิศรมองว่า จะสามารถทำงานร่วมกันได้ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคที่ผลัดใบแล้ว แม้ความเป็นจริงในทางการเมืองจะมีหมางใจอยู่บ้าง แต่ด้วยรัฐธรรมนูญและการทำงานที่จะต้องจับมือกันบังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ด้วยกัน เชื่อว่าหลังจากนี้จะสามารถทำงานร่วมกันได้ พร้อมขอทุกฝ่ายให้โอกาสนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทำงาน และช่วยกันตรวจสอบดูว่าจะเป็นอิสระในการนำพารัฐบาลและประเทศชาติต่อไปอย่างไร