อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐฯ อาจจะถูกประท้วงโดยกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตใบยาสูบ และทำให้กระบวนทุกอย่างเลื่อนช้าออกไป
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ การสูบบุหรี่เป็นต้นเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในประชากรชาวสหรัฐฯ โดยมีประชาชนชาวสหรัฐฯ เสียชีวิตสืบเนื่องจากการสูบบุหรี่กว่าปีละ 480,000 คน ทั้งนี้ สาเหตุของการเสพติดบุหรี่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง เกิดขึ้นจากสารนิโคตินในบุหรี่ที่ทำให้ผู้เสพ “รู้สึกดี” เมื่อเสพมันผ่านการสูบควันบุหรี่ที่ถูกเผาไหม้ ซึ่งควันจากการเผาไหม้ดังกล่าว เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง
“การผลิตบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบเผาไหม้อื่นๆ ให้เกิดการเสพติดน้อยที่สุดหรือไม่เสพติดจะช่วยชีวิตได้” โรเบิร์ต เอ็ม คาลิฟฟ์ คณะกรรมการองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) กล่าว โดยคาลิฟฟ์ชี้ว่า การลดนิโคตินในบุหรี่ จะช่วยให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสในการเสพติดบุหรี่ได้น้อยลง และช่วยให้ผู้ที่ยังสูบบุหรี่ในปัจจุบันสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้
จากการประมาณการในปี 2563 มีประชากรผู้ใหญ่สหรัฐฯ จำนวน 30.8 ล้านคนที่สูบบุหรี่ นอกจากนี้ ศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประชากรผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่กว่า 87% เริ่มสูบบุหรี่ครั้งแรกเมื่ออายุ 18 ปี
ทั้งนี้ รัฐบาลของไบเดนได้ตั้งเป้าหมายตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในประชากรของประเทศลงอย่างน้อย 50% ภายในระยะเวลาอีก 25 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการรณรงค์การรับมือกับโรคมะเร็งครั้งใหญ่ของรัฐบาลไบเดน
อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์ว่าองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ ซึ่งเป็นองค์กรที่ควบคุมบุหรี่ในประเทศ อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยนานนับปี จึงจะสามารถเสนอกฎการควบคุมนิโคตินในบุหรี่ให้น้อยลงได้ เนื่องจากอาจมีผู้เห็นค้านออกมาต่อต้านมาตรการดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมใบยาสูบ ที่อาจนำเรื่องดังกล่าวยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้
ที่มา: