นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงกรณีพรรคภูมิใจไทยหลังจากไปเป็นฝ่ายค้านและอยากทำหน้าที่ทันที โดยการจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ซึ่งจำเป็นต้องใช้เสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 ใน 5 ของ สส.ที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้ หมายถึงจำนวน 99 คน ขึ้นไป ซึ่งพรรคภูมิใจไทยพรรคเดียว เสียงไม่พอยื่นอภิปราย ต้องมีเสียงสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านอีกไม่ต่ำกว่า 30 คน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นเรื่อง ความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนไว้ให้กระทำได้ในระบบรัฐสภา แต่พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่พอใจการปรับครม.แล้วไปเป็นฝ่ายค้าน จะยื่นอภิปรายตั้งแต่วันแรกที่เปิดสมัยประชุมเป็นเรื่องไม่ปกติอย่างยิ่ง เกรงว่าจะเป็นการทำหน้าที่ “ฝ่ายแค้น” มากกว่า“ฝ่ายค้าน” ตามระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่า หากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านเดียวที่มีเสียง เพียงพอในการยื่นญัตติจะผสมโรง ลงชื่อด้วยก็ยิ่งเป็นเรื่องแปลก เพราะการอภิปราย ครั้งที่ผ่านมา กลับพบว่าไม่อภิปรายในส่วนของภูมิใจไทยเลย แต่พอพรรคภูมิใจไทยยื่นอภิปรายพรรคเพื่อไทยแล้ว จะรีบตอบรับทันทีหรืออย่างไร หรือว่าข่าวลือเรื่องการผสมสีจะเป็นจริง
ส่วนข้อเรียกร้องของพรรคประชาชนเวลานี้ คือ ให้ยุบสภา แต่ถ้ายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเท่ากับปิดโอกาสยุบสภา ก็อยากเห็นว่าจุดยืนของพรรคแกนนำฝ่ายค้านตกลงจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ประเทศกำลังต้องการความสามัคคีเพื่อที่จะแก้ไขปัญหาระดับโลกทั้งเรื่องอิหร่าน-อิสราเอล และชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งการแก้ไขปัญหาภาษีของ ปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ และการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในทุกมิติ ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างแข่งขันและเชื่อว่าผลงานจะออกดอกออกผลในไตรมาสที่ 3 และ 4 นี้ อย่างแน่นอน