โครงการสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเวทีสานพลังขับเคลื่อนการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ผ่านการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ปกครอง และสถานศึกษา รวมทั้งเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น ประกอบด้วย อปท. หน่วยงาน และองค์กรต่างๆ ให้เข้ามาร่วมกันดูแลและพัฒนาทักษะชีวิต เตรียมความพร้อมการใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ และการใช้ชีวิตในชุมชนและสังคมอย่างมีคุณค่า
นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานคนที่ 2 คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ด้วยจำนวนเด็กที่มีความต้องการพิเศษรวมทั้งประเทศ ที่มีมากกว่าแสนคน จึงต้องมีการประเมินปัญหาที่เกิดขึ้น ผ่านเครือข่ายทั้งคนในพื้นที่ และนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถ เพื่อนำไปสร้างองค์ความรู้ใหม่ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย และที่สำคัญต้องมีการดำเนินการอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการขยายตัวของโครงการ อันจะช่วยให้ครอบครัวที่มีเด็กพิเศษ สามารถพลิกฟื้นกลับมามีชีวิตที่ดีอีกครั้ง
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) สสส. กล่าวเสริมว่า จากการสังเคราะห์รูปแบบการจัดการศึกษาสำหรับเด็ก ที่มีความต้องการพิเศษโดยส่วนร่วมของชุมชน พบว่าความต้องการพิเศษหรือความพิการแต่ละประเภท จำเป็นต้องมีวิธีการจัการศึกษาที่แตกต่างกัน รวมถึงผลจากการถอดบทเรียนยังบ่งบอกชัดเจนว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการศึกษา ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการลดช่องว่างและความเหลื่อมล้ำให้กับผู้พิการ ทั้งยังช่วยส่งเสริมไผู้พิการสมารถพึ่พาตนเองได้ ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนได้ร่วมส่งเสริมให้ผู้พิการ และผู้มีความต้องการพิเศษ ได้เข้าถึงเรียนรู้และทักษะด้านการประกอบอาชีพ จนสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมทั้งลดภาระจากคนรอบข้าง และเกิดเป็นอาชีพของผู้พิการกว่า 4,000 อัตรา
ด้าน ดร.พลรพี ทุมมาพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า ผลจากดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2561-2563 นำร่อง 3 พื้นที่ทั่วประเทศ ประกอบด้วย ภาคเหนือที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ภาคกลางที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี มีเด็กที่มีความต้องการพิเศษเข้าร่วมทั้งสิ้น 60 คน ผ่านการมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ในการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะรอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา พบปัญหาสำคัญ 3 ด้าน ที่เด็กที่มีความต้องการพิเศษต้องเผชิญในชีวิต
อันเป็นผลสรุปจากการดำเนินงาน ได้แก่ 1.ด้านการคัดกรอง ปัจจุบันพบว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษจำนวนมาก ไม่ได้รับการคัดกรอง เนื่องจากมีนักจิตวิทยาไม่เพียงพอ ตัวอย่างในพื้นที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ผู้ปกครองและครูไม่สามารถพานักเรียน ไปตรวจคัดกรองเบื้องต้นในตัวเมืองได้ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงและรอเวลานาน ทำให้พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษไม่ก้าวหน้า และสวนทางกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นนักเรียนจึงถูกผลักให้ออกจกระบบการศึกษา เพราะอายุเกินและหลุดระบบการศึกษาในที่สุด
2.ด้านความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษของครูในสถานศึกษา เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านการฝึกอบรม ประกอบบการกำหนดมาตรฐานผลการเรียนของนักเรียนปกติ ทำให้ครูต้องให้ความสำคัญกับเด็กปกติก่อน ไม่มีเวลาในการจัดทำแผนการเรียนเฉพาะรายบุคคล (IEP) รวมถึงขาดทักษะเรื่องการคัดกรองนักเรียน ทำให้ไม่สามารถแยกนักเรียนที่ขี้เกียจออกจากเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ส่งผลต่อการเกิดปัญหา เพราะถูกประเมินและสอนเหมือนเด็กปกติ ทำให้นักเรียนไม่ได้รับการจัดการเรียนการสอนที่ถูกต้อง
3.ด้านการดูแลลูกกลุ่มที่เป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษของผู้ปกครอง โดยส่วนใหญ่พ่อแม่และผู้ปกครอง จะใช้วิธีการเลี้ยงตามวิถีชาวบ้าน และละมีความเชื่อว่า การมีลูกป็นเด็กพิเศษคือ "เด็กปัญญาอ่อน พัฒนาไม่ได้ เด็กไม่เต็ม" ถือเป็นความโชคร้าย และการลงโทษจากบาปกรรม เป็นต้น ความคิดดังกล่าวทำให้พ่อแม่ปล่อยตามใจ ไม่พยายามฝึกหรือกระต้นพัฒนาการ รวมถึงไม่ทราบวิธีการสื่อสารกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ส่งผลให้เกิดความไม่เข้าใจ เด็กไม่ปฏิบัติตาม พ่อแม่ใช้การลงโทษที่มากขึ้นหรือปล่อยปละละเลยมากขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษในวัยเรียน ที่สามารถเข้าเรียนรวมกับเด็กปกติได้ ประกอบด้วย 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2) เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ 3) เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ และ 4) เด็กออทิสติก เป็นกลุ่มที่พบมากในสถานศึกษาและชุมชนทั่วไป ซึ่งผลจากดำเนินโครงการพบความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ คือเกิดเป็นเครือข่ายความร่วมมือ มีการรับฟังเสียงและความต้องการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากขึ้น ขณะเดียวกันในแง่ของมุมมองและทัศนคติของชุมชน หรือสังคมในพื้นที่ที่มีต่อเด็กก็เป็นไปในเชิงบวก หรือยอมรับในคุณค่าและความสามารถมากขึ้นด้วย ซึ่งในระยะต่อไปสถานศึกษาและชุมชน จะขยายผลการดำเนินงานให้ครอบคลุม ไปยังเด็กในสถานศึกษาหรือพื้นที่เดียวกันโดยไม่แบ่งแยก
"สถานการณ์ทั่วไปก่อนดำเนินโครงการ เราพบว่าสถานศึกษาและครูส่วนใหญ่ อาจไม่เข้าใจและให้ความสำคัญ กับกลุ่มเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากนัก แต่ภายหลังได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการ พบว่าทุกแห่งได้ตระหนักถึงความสำคัญและปัญหา จนมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการจัดการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ โดยเปิดโอกาสให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ได้เท่าเทียมกับเด็กปกติมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่ ยังมีการประสานเชื่อมโยงกันในการรับและส่งต่อเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ให้ได้รับบริการด้านต่างๆ เช่น บริการทางการศึกษาและการแพทย์มากขึ้นด้วย อีกทั้งยังยินดีเปิดให้หน่วยงานหรือชุมชนในพื้นที่ข้างเคียง ที่มีความสนใจสามารถนำแนวคิดหรือแนวทางการดำเนินงาน ไปใช้ในการจัดการศึกษาเพื่อส่งเสริมสุขภาวะของเด็กที่มีความต้องการพิเศษต่อไป" ดร.พลรพี กล่าว