ไม่พบผลการค้นหา
'ก้าวไกล’ ชี้ ‘อนุทิน’ ไม่ยอมเซ็นงบป้องกันโรคกองทุน สปสช. เป็นการตีความกฎหมายผิดพลาด ทำประชาชนเข้าถึงยาป้องกัน HIV ลำบากกว่าเดิม ถาม บ้านอยู่อวกาศหรือยังไง ถึงชอบสร้างสุญญากาศ จี้กล้าหาญเซ็นอนุมัติงบโดยเร็ว

วันที่ 8 มกราคม 2566 นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหน่วยให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV ของภาคประชาสังคมจำนวนมาก ไม่สามารถให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV เนื่องจากงบประมาณในส่วนของการป้องกันโรคของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 4 รายการ ได้แก่ การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP), ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ (PP-HIV), ค่าบริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (LTC) และค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) งบประมาณรวม 5,146.05 ล้านบาท ไม่ถูกอนุมัติ

โดยอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการนำงบที่เกี่ยวกับโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ (Prevention and Promotion: P&P) จากกองทุนบัตรทอง ไปใช้ดูแลทั้งผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการนั้น อาจไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทำให้กองทุน สปสช. ต้องออกหลักเกณฑ์การให้บริการใหม่แก่หน่วยบริการสุขภาพ ให้หน่วยให้บริการร่วม จัดสรรสิทธิ์ในการป้องกันเชื้อ HIV ให้เฉพาะคนที่มีบัตรทองเท่านั้น คนที่ต้องการรับยาเพร็พหรือยาเป๊ป (PrEP, PEP) ซึ่งเป็นยาป้องกัน HIV หรือแม้แต่การแจกถุงยางอนามัยฟรี ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลตามสิทธิ์ โดยคนที่มีสิทธิบัตรทองและข้าราชการไปรับได้ที่โรงพยาบาล ส่วนคนที่ไม่มีสิทธิบัตรทองหรือสิทธิข้าราชการ อาจต้องจ่ายค่ายา

นพ.วาโย กล่าวว่า การตีความกฎหมายของอนุทิน ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะโดยหลักการตาม พ.ร.บ.กองทุน สปสช. ถือว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการตามกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิอื่น โดยเฉพาะประกันสังคมและสิทธิข้าราชการ ให้ใช้เงินจากสิทธิที่ตนเองมีก่อน

“การป้องกันเชื้อ HIV และโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพอื่น ไม่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการและกองทุนประกันสังคม ดังนั้นคนไทยที่ต้องการใช้สิทธิตรงนี้จึงอยู่ในหน้าที่ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างชัดเจน” นพ.วาโย กล่าว

นพ.วาโย กล่าวด้วยว่า ควรจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่รัฐมนตรีสาธารณสุขต้องเข้าใจสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ว่าเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน สิทธิในการป้องกันโรคไม่ควรเป็นแค่เฉพาะสิทธิของคนไทยแต่ควรครอบคลุมถึงคนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วย เพราะอย่าลืมว่ากลุ่มเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคนี้ในประเทศไทยไม่ใช่แค่คนไทย แต่ยังมีกลุ่มคนต่างชาติทั้งที่เข้ามาทำงานหรือท่องเที่ยว

“การที่ประชาชนถูกลิดรอนสิทธิ์ตรงนี้ไปถึง 2 เดือน เกิดจากความโง่เขลาของรัฐมนตรีโดยแท้ ไม่ทราบว่าท่าน มีบ้านอยู่อวกาศหรือไง ถึงได้ชอบสร้างสุญญากาศ ครั้งนี้เป็นสุญญากาศด้านการป้องกันเชื้อ HIV ที่ประเทศไทยเคยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติมายาวนาน” นพ.วาโยกล่าว

นพ.วาโยกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอเรียกร้องให้อนุทิน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีความกล้าหาญในการปกป้องชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนและสังคม อย่ามัวแต่สนเทคนิคทางกฎหมายและการเมือง รีบเซ็นอนุมัติงบประมาณส่วนนี้ให้การป้องกันเชื้อ HIV ในสังคมไทยเป็นไปได้แบบที่เคยเป็นมาโดยเร่งด่วน