สำนักข่าวไทยรายงาน จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อความว่าเดินทางกลับจากบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน และได้รับข้อมูลว่าจะต้องโดนตรวจร่างกายอย่างเข้มงวดเมื่อเดินทางถึงประเทศไทยและอาจต้องโดนกักตัวหากตรวจเจอเชื้อโควิด-19 แต่เมื่อเดินทางมาถึงช่วงเวลา 06.00 น. กลับเดินผ่าน ตม.ไปยืนรอรับกระเป๋าพร้อมกับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่มาในเวลาไล่เลี่ยกัน 500-600 คนโดยไม่เจอเจ้าหน้าที่ที่จะมาตรวจสุขภาพแม้แต่คนเดียว ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่นั้น

พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยถึงเรื่องดังกล่าวว่า ตามขั้นตอนการตรวจคัดกรองของเจ้าหน้าที่มีการคัดกรองในเบื้องต้นด้วยกล้องเทอร์โมสแกนตามจุดต่างๆ ซึ่งกล้องดังกล่าวอาจไม่ได้ติดตั้งให้เห็นชัดเจน เหมือนช่วงแรกๆ และอาจมีลักษณะเป็นกล้อง CCTV หรือเป็นกล้องติดตั้งในจุดที่ประชาชนหรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามามองไม่เห็น

แต่ขอยืนยันว่า มีเจ้าหน้าที่ของกรมควบคุมโรคและเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานคอยมอนิเตอร์ดูอุณหภูมิจากผู้เดินทางเข้าประเทศทุกคน หากพบว่าผู้โดยสารรายใดที่อุณหภูมิสูงเกินกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จะส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ กรมควบคุมโรคและเจ้าหน้าที่การท่าฯ ที่เกี่ยวข้องเข้าไปเชิญตัวมาตรวจสอบอุณหภูมิและซักถามประวัติ การเดินทางอย่างละเอียด ไม่ได้เป็นการปล่อยปละละเลยแต่อย่างใด เรื่องดังกล่าวอาจเป็นความเข้าใจผิดของผู้โพสต์ 

พล.ต.ท.สมพงษ์ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบข้อมูลหนังสือเดินทางและประวัติการเดินทางของผู้เดินทางเข้าเมือง ไม่ได้มีหน้าที่ในการคัดกรองผู้ติดเชื้อ หากมีการประสานมาจากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคหรือเจ้าหน้าที่การท่าฯ ว่าบุคคลดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไม่ว่าจะมาจากกรณีใดจะช่วยในการสกัดกั้นไว้ในระดับหนึ่ง

ส่วนการป้องกันตัวจากเชื้อโควิด- 19 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองทุกนายเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันตัวทั้งการใส่ถุงมือและสวมหน้ากากอนามัยตลอดการทำงาน และเมื่อเสร็จการทำงานหรืออยู่ในช่วงพักต้องล้างมือให้สะอาด หากพบว่ามีอาการเสี่ยงต่อการติดเชื้อต้องรีบแจ้งผู้บังคับบัญชาให้รับทราบและกักตัวดูอาการ 14 วันทันที เพื่อไม่ให้เชื้อดังกล่าว ติดต่อกับเพื่อนร่วมงานและผู้ที่เดินทางเข้าเมือง