ปีนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มรุนแรงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากวัคซีนป้องกันไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ และผู้ป่วยบางรายมักคิดไปเองว่า อาการไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ เหมือนไข้หวัดธรรมดาๆ จึงปฏิเสธการรักษาตามกระบวนการ ทำให้เชื้อลุกลามใหญ่โต
ตามข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention – CDC) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า 17,000 ราย ทว่าความหวังครั้งใหม่ของมวลมนุษยชาติเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อบริษัทพัฒนายารักษาโรค ชิโอโนกิ แอนด์ โค. (Shionogi & Co.) ในประเทศญี่ปุ่นอ้างว่า สามารถผลิตยาชนิดใหม่ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ และป้องกันการแพร่ระบาดจากคนสู่คนได้ในเวลาเพียงแค่หนึ่งวัน
ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น และอเมริกัน ซึ่งเข้าร่วมทำการทดสอบของบริษัทฯ ครั้งล่าสุดกล่าวว่า การกำจัดไวรัสออกจากร่างกายของพวกเขาใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง และหากนำไปเปรียบเทียบกับยาทามิฟลู (Tamiflu) ของบริษัทโรช (Roche) ที่นิยมใช้รักษาไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบัน สารประกอบของชิโอโนกิทำงานเร็วกว่าถึง 3 เท่า ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ผลิตยังอ้างอีกด้วยว่า การใช้เพียงครั้งเดียวส่งผลดีต่อผู้ป่วย ขณะที่ยาทามิฟลูต้องกินวันละ 2 ครั้งเป็นเวลานาน 5 วัน
ด้านกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นประกาศให้การสนับสนุน และบริษัทชิโอโนกิ แอนด์ โค. อาจได้รับอนุญาตให้เดินหน้าผลิตยาราวๆ เดือนมีนาคม อย่างไรก็ตาม แม้ความต้องการใช้ยาจะสูงมาก แต่สารประกอบดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับอนุมัติในสหรัฐฯ ทว่าทางบริษัทวางแผนทำเรื่องยื่นขออนุมัติจากภายในฤดูร้อน ซึ่งกว่าคนอเมริกันจะได้ใช้ยาดังกล่าวก็คงเป็นปีหน้า ทั้งๆ ที่ องค์การอนามัยโลกออกมาแถลงว่า ตัวยาของชิโอโนกิ แอนด์ โค. อาจทำให้แพทย์ และพยาบาลเปลี่ยนวิธีการรักษาโรคไข้หวัดได้
อิซาโอะ เทชิโรกิ (Isao Teshirogi) ผู้บริหารของบริษัทฯ กล่าวว่า สารประกอบจะเข้าไปขัดขวางการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ภายในเซลล์ร่างกาย ขณะที่ทาเคกิ อุเอฮาระ (Takeki Uehara) หัวหน้าทีมค้นคว้าสารประกอบกล่าวกับเดอะ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ว่านักวิจัยกำลังศึกษายาต้านเอชไอวีที่ออกฤทธิ์ในลักษณะเดียวกัน
สำหรับประเทศไทย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ระหว่าง 1 - 29 มกราคมที่ผ่านมา คนไทยป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่แล้ว 8,728 ราย เสียชีวิต 1 ราย ขณะที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานอายุ 35-44 ปี รองลงมาคือ 25-34 ปี และ 15-24 ปี ตามลำดับ