ไม่พบผลการค้นหา
ว่าที่หัวหน้า - เลขาธิการพรรคพลงประชารัฐ ยังอุบดัน 'ประยุทธ์' เป็นนายกฯในการเลือกต้ัง ย้ำพร้อมร่วมทำงานกับทุกพรรคการเมืองทั้ง 'เพื่อไทย - ประชาธิปัตย์' แย้มอาจเสนอชื่อ 'อุตตม' ในบัญชีนายกฯ เผย 'สมคิด' เมินนายกฯ ขณะที่ 'สนธิรัตน์' เตรียมลาออก รมต.ในช่วงเวลาเหมาะสม

นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะว่าที่หัวพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่พบปะเครือข่าย SME ภาคการเกษตร ที่ Lemon me farm จ.นครปฐม กล่าวถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องทั้งการชื่อพรรคว่าคล้ายกับโครงการประชารัฐของรัฐบาลและยังมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่า ไม่สามารถห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ได้ เป็นเรื่องของความคิดเห็น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศเปิด ทั้งหมดขึ้นอยู่กับประชาชนที่เป็นผู้รับฟังที่จะเป็นคนตัดสิน คงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากให้สังคมเป็นผู้ตัดสินโดยมองเรื่องการพูด การฟังและปฏิบัติของพวกเรา พร้อมปฏิเสธตอบถึงความคืบหน้าการเตรียมความพร้อมของพรรคพลังประชารัฐโดยให้ผู้ร่วมอุดมการณ์เป็นผู้ดำเนินการ

ส่วนกรณีที่นายชวน ชูจันทร์ ว่าที่กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ว่า พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น นายอุตตม กล่าว่า ส่วนตัวยังไม่ได้อ่านรายละเอียด และเรื่องนี้เคยพูดไว้เดิม แต่วันนี้ไม่ได้มาพูดการเมืองมากมาย ทั้งหมดเป็นหลักการและข้อมูลที่เคยมีอยู่แล้วจึงต้องมาดูร่วมกันอีกครั้ง แต่ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้การรับรองในการจัดตั้งพรรคอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หากได้รับการรับรองพรรคแล้วค่อยมาดูกันอีกครั้งว่าทางพรรคจะเสนอชื่อใคร 

นายอุตตม ระบุว่า การลงพื้นที่พบปะเครือข่าย SME ภาคการเกษตร ที่ Lemon me farm จ.นครปฐม มีเกษตรกรหลายจังหวัดมาร่วมพูดคุยทางพรรคจึงได้มารับฟังความเห็นในหลายเรื่อง รู้สึกดีใจที่เกษตรกรมีกลุ่มก้าวหน้าในการพัฒนาภาคการเกษตร ที่มีการนำพันธุ์พืชทั้งผักและผลไม้มาต่อยอด เท่าที่รับฟังมีเรื่องที่น่าสนใจโดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าของสินค้า โดยใช้แนวทางที่เหมาะสมเหมาะกับวิถีไทย และมีหลายกลุ่มที่ประสบความสำเร็จ หากมีการรวมกลุ่มกันทั่วประเทศจะช่วยในการขับเคลื่อนเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า มุ่งสู่อุตสาหกรรมการเกษตรได้ ซึ่งทุกคนให้ความสำคัญของตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เริ่มจากภูมิปัญญาในท้องถิ่น นำเทคโนโลยีมาเสริม และเห็นว่ายังมีโอกาสที่จะต่อยอดอีกในหลายๆ ด้าน ซึ่งการในวันนี้ ตนมาในฐานะที่ได้รับเชิญมาร่วมฟังแต่ไม่ได้มาในฐานะรัฐมนตรี ซึ่งพวกเรามีความสนใจในเรื่องดังกล่าวจึงตอบรับคำเชิญในการมารับฟัง เพราะสิ่งที่ได้รับฟังมานี้เป็นประโยชน์ ขณะเดียวกัน คนไทยทุกวันนี้หากใช้ศักยภาพให้เต็มที่จะต้องเชื่อมโยงกันไม่ว่าภาคส่วนใด รวมถึงภาครัฐและเอกชน ตลอดจนภาคเกษตรกรด้วย

ขณะที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ว่าที่เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันพรรคพลังประชารัฐพร้อมร่วมงานกับทุกพรรค ทั้งพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ไม่เคยรังเกียจพรรคไหน แต่อยู่ที่ว่าพรรคการเมืองเหล่านั้นจะยอมมาจับมือ ทำงานร่วมกัน ก้าวข้ามความขัดแย้งหรือไม่ และขออย่าตั้งป้อมโจมตีซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากความขัดแย้ง และพรรคพลังประชารัฐก็อยากเห็นทุกคนยืดตามกติกา และวิพากวิจารณ์อย่างสร้างสรรค ไม่โจมตีกันไปมา

ส่วนความชัดเจนที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องถาม พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนว่าพร้อมที่จะมาเป็นหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มีการหารือหรือทายเชิญใดใด เพราะยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม เมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็จะคุยกันว่าใครเหมาะสมที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะเป็นใครก็ได้ แต่ต้องเป็นที่เชิดชู และเชื่อมั่น ของพี่น้องประชาชน เพราะผู้นำประเทศจะต้องมีความน่าเชื่อถือและมีประสบการณ์ ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่พรรคอยากได้ใครก็ได้ แต่ต้องถามประชาชนด้วย ถ้าเทียบแล้วยังไม่มีเหมาะสม ก็อาจจะเสนอชื่อนายอุตตม สาวนายน ว่าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ยืนยันว่าไม่มีการเสนอนานสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นนอน เพราะเหนื่อยและปัญหาสุขภาพด้วย 

ส่วนจะเป้าให้พรรคพลังประชารัฐเป็นพรรคการเมืองใหญ่หรือไม่นั้น เห็นว่าเป็นเรื่องของประชาชนมี่จะตัดสินใจตอนรี้พรรคมุ่งมั่น จะทำให้พรรคมีความเป็นสถาบันมากที่สุดและไม่ได้เป็นร่างทรงของใคร

นายสนธิรัตน์ ย้ำว่า จะลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ในช่วงเวลาที่เหมาะสม แต่ว่าในช่วงนี้ จะเน้นการทำงานให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด เพราะยังเห็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่จะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อ และการจะอยู่หรือลาออก ก็จะต้องพิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนมากน้อยเพียงใด แต่พร้อมรับฟังเสียงวิจารณ์และรับทราบธรรมเนียมปฏิบัติ ส่วนการร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ จ.เชียงราย และจังหวัดพะเยาช่วงระหว่างวันที่ 29-30 ต.ค.นี้ นายสนธิรัตน์ ยืนยันว่า จะยังคงไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ เพื่อขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ โดยไม่ใช่การหาเสียง และจะไม่กระทำการหมิ่นเหม่ต่ออำนาจหน้าที่ จึงขอให้ประชาชนสบายใจได้ และรับทราบถึงการจับจ้องของสังคม