ไม่พบผลการค้นหา
บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง เจ้าของฉายา 'วอร์เรน บัฟเฟต' แห่งเอเชีย เตรียมสละตำแหน่งประธานบริษัทในเครือ ซีเค ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ ในเดือน พ.ค. พร้อมตั้งลูกชายสืบทอดอำนาจบริหารแทน

ลีกาชิง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง วัย 89 ปี ซึ่งได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ว่าเป็นบุคคลร่ำรวยอันดับ 23 ของโลก และร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง เขตบริหารพิเศษจีน เปิดเผยว่าเขาจะยุติบทบาทในฐานะประธานบริหารบริษัทซีเค ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ ซึ่งมีกิจการหลายประเภทกระจายอยู่ใน 52 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก ภายในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้

เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นมันนี่รายงานว่า ลีกาชิงจะมีอายุครบ 90 ปีในเดือน ก.ค. และเขาได้ผลักดันให้ 'วิกเตอร์ ลี' ลูกชายคนโต วัย 53 ปี เป็นผู้รับช่วงงานบริหารต่อไป โดยเขาจะยังคงเป็นที่ปรึกษาอาวุโสให้แก่บริษัทอยู่ แต่ก็จะปล่อยวางภาระหน้าที่ต่างๆ ให้อยู่ในมือของประธานคนใหม่เป็นหลัก

ปัจจุบัน ธุรกิจในเครือบริษัทซีเค ฮัตชิสัน โฮลดิ้งส์ มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 35,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และว่าจ้างพนักงานกว่า 300,000 คนทั่วโลก โดยมีกิจการที่สำคัญในกลุ่มท่าเรือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม ทั้งยังถือหุ้นในบริษัทน้ำมันฮัสกีซึ่งมีสัญชาติแคนาดา รวมถึงเป็นเจ้าของกิจการร้านค้าปลีกซึ่งจำหน่ายเครื่องสำอางและเวชภัณฑ์ที่ชาวไทยรู้จักกันดีอย่าง 'วัตสันส์' 

ฮ่องกง

สิ่งที่ทำให้ลีกาชิงได้รับการยกย่องในแวดวงธุรกิจ จนถึงขั้นที่สื่อตั้งฉายาว่าเขาคือ 'วอร์เรน บัฟเฟต แห่งเอเชีย' และ 'ซูเปอร์แมน' เป็นเพราะเขาสร้างเนื้อสร้างตัวจากครอบครัวที่เคยมีฐานะแร้นแค้น จนกลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับโลกได้ โดยอาศัยความมุ่งมั่นและการวางแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ

"สิ่งที่คอยผลักดันผมอยู่เสมอ คือคำถามว่า คนเราจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาตัวเองได้หรือไม่? ต้องทำอย่างไรจึงจะกำจัดอุปสรรคและความยากลำบากไปได้? และการเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับการวางแผนต่างๆ อย่างละเอียดรอบคอบใช่หรือไม่?"

บลูมเบิร์กเคยรายงานด้วยว่า ลีกาชิงมีรสนิยมเรียบง่าย ไม่เน้นความหรูหรา และเขาใส่แต่นาฬิกายี่ห้อ 'ไซโก' ราคาประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,650 บาท) มานานหลายสิบปี และเพิ่งจะตัดสินใจเปลี่ยนเป็นนาฬิกาพลังแสงอาทิตย์ราคา 500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 16,500 บาทเมื่อราว 5 ปีก่อน โดยให้เหตุผลว่า "ไม่ต้องเปลี่ยนถ่านเลย ทั้งยังสามารถใส่ว่ายน้ำหรือตีกอล์ฟได้ด้วย"

ขณะที่ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ในสมัยที่ลีกาชิงยังเด็ก พ่อของเขาป่วยด้วยโรควัณโรค แต่ไม่มีเงินรักษาตัว เขาจึงให้สัมภาษณ์ว่าความยากจนและความเจ็บป่วยเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในชีวิต

"ภาระแห่งความยากจนและรสชาติขมขื่นของความโดดเดี่ยว ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจผมตลอดมา"

หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ ลีกาชิงก็เริ่มหันมาทำงานด้านการกุศลและให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงให้การสนับสนุนกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัปในฮ่องกง

นอกจากนี้ เขายังได้ก่อตั้งมูลนิธิลีกาชิงขึ้นเมื่อปี 2523 เพื่อทำงานไม่แสวงผลกำไร มีการพิจารณามอบทุนการศึกษาแก่นักเรียน-นักศึกษาที่ฐานะยากจน แต่ว่ามีความสามารถ รวมถึงจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือด้านสาธารณสุข เพราะเขาเคยกล่าวไว้ว่า ในวัฒนธรรมเอเชีย "ผู้ร่ำรวยจะต้องช่วยเหลือและอุปถัมภ์ผู้อื่นๆ" ในฐานะที่มีความพร้อมในด้านต่างๆ มากกว่า

อ่านเพิ่มเติม: