ไม่พบผลการค้นหา
ตลาดหุ้นไทยดิ่งแรง 40.26 จุด ตามตลาดต่างประเทศ ตลาดเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลง ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สร่วงกว่า 400 จุด ตามข่าวสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยกลุ่มแบงก์ร่วงมากที่สุดถึง 231.94 จุด หรือติดลบร้อยละ 6.51 จากความกังวลเรื่องปรับลดรายได้ค่าธรรมเนียม

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET ปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,724.98 จุด ลดลงจากเมื่อวานนี้ 40.26 จุด หรือ ติดลบร้อยละ 2.28 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 93,160.59 ล้านบาท โดยการซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยดัชนีฯ แตะจุดสูงสุดที่ 1,771.58 จุด และแตะจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,724.90 จุดส่วนหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 265 หลักทรัพย์ ลดลง 1,270 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 246 หลักทรัพย์      

index.jpg

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลง ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สร่วงไปกว่า 400 จุด ในบ่ายวันนี้ (4 เม.ย.) แม้แต่ตลาดยุโรปก็ปรับตัวลงราวร้อยละ 0.5-1 หลังจากจีนประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ อีก 106 รายการ ใน 14 หมวดสินค้า ทำให้ภาคบ่ายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวลงมากกว่าช่วงเช้า เนื่องจากกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

นอกจากนั้น ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มแบงก์ที่ปรับลงมาก หลังจากธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ประกาศลดประมาณการรายได้ค่าธรรมเนียมลงหลังจากใช้กลยุทธ์ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมผ่านออนไลน์ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกว่าแบงก์อื่น ๆ ก็อาจจะต้องปรับลดประมาณการตามไปด้วย นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีประเด็นเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มโรงกลั่น, โรงไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งนี้ แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (5 เม.ย.) นายวีระวัฒน์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นอาจจะแกว่งตัวในทิศทาง Sideway ถึง Sideway Down หรือ ปรับตัวลดลงบางช่วง เพื่อรอดูพัฒนาการของข่าวต่าง ๆ และรอติดตามทิศทางตลาดสหรัฐฯ ในคืนนี้ด้วย สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยในเดือน เม.ย. คาดว่าจะยังผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน ซึ่งจะตัวถ่วงในแง่ Sentiment (ความรู้สึกของนักลงทุน) โดยคาดว่าเดือน เม.ย. จะมีแนวรับที่ระดับ 1,720 จุด ส่วนแนวต้านที่ระดับ 1,750-1,755 จุด

ด้านนางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ก���่าวว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงในช่วงนี้มาจากความกังวลจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้ไม่ได้มีกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยที่ยังสามารถเติบโตได้ดี และนักลงทุนยังสามารถลงทุนได้ในระยะกลางถึงยาว เพราะคาดว่าสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐไม่ได้มีผลกระทบโดยตรงกับประเทศไทย เพราะการส่งออกของไทยมีสัดส่วนส่งออกไปยังจีนประมาณร้อยละ 10 ซึ่งเป็นทั้งจากของบจ.และไม่ใช่ บจ. และสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภคไม่ใช่สินค้าวัตถุดิบที่จีนใช้ในการผลิต