สำนักข่าว Foreign Policy รายงานว่า สถานทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติส่งแถลงการณ์ไปให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตของยูเอ็น เพื่อแจ้งว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มไม่อนุญาตวีซ่าให้กับคู่ชีวิตเพศเดียวกันของเจ้าหน้าที่และทูตของสหประชาชาติตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในสหรัฐฯ แล้วจำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสกับคู่ชีวิตภายในสิ้นปีนี้
ทางการสหรัฐฯ แจ้งว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.จนถึง 31 ธ.ค.ปีนี้ คู่ชีวิตของเจ้าหน้าที่การทูตของยูเอ็นจะต้องแสดงหลักฐานการสมรสต่อกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นจะต้องออกจากสหรัฐฯ ภายใน 30 วัน และคู่ชีวิตเพศเดียวกันของเจ้าหน้าที่และทูตยูเอ็นที่กำลังจะเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในสหรัฐฯ จะต้องแสดงหลักฐานการสมรสตั้งแต่ขั้นตอนการขอวีซ่าสำหรับนักการทูต
สถานทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติอธิบายว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการปรับแนวปฏิบัติการขอวีซ่าให้ตรงกับนโยบายการแต่งงานเพศเดียวกันของรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากที่ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ตัดสินให้อนุญาตการจดทะเบียนสมรสของคู่รักเพศเดียวกันได้ในปี 2015
อย่างไรก็ตาม มาตรการใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นนโยบายที่เลือกปฏิบัติต่อคู่รักต่างชาติที่มาจากประเทศที่การรักเพศเดียวกันยังเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ซาแมนธา พาวเวอร์ อดีตทูตสหรัฐฯ ประจำยูเอ็นวิจารณ์นโยบายนี้อย่างหนักว่า เป็นนโยบายที่ "โหดร้ายและดันทุรังโดยไม่จำเป็น" พร้อมชี้ให้เห็นว่า มีเพียงร้อยละ 12 ของประเทศสมาชิกยูเอ็นเท่านั้นที่อนุญาตการแต่งงานเพศเดียวกัน
เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ที่ผ่านมา มีรายงานว่า พนักงานของยูเอ็นอย่างน้อย 10 คนที่อยู่ในสหรัฐฯ และจำเป็นต้องจดทะเบียนสมรสภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้คู่รักของตัวเองยังสามารถต่ออายุวีซ่าได้
ที่มา : Foreign Policy