ไม่พบผลการค้นหา
อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงสหรัฐฯ ยอมรับว่า โกหกเอฟบีไอเกี่ยวกับการไปพบทูตรัสเซียก่อนโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ยอมรับผิดต่อศาลที่กรุงวอชิงตันว่า เขาให้การเท็จกับสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ เกี่ยวกับการเข้าพบนายเซอร์เก คิสเซลยัก เอกอัตรราชทูตรัสเซีย ประจำสหรัฐฯ ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลสหรัฐฯ หลายสัปดาห์ก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ไม่มีการเปิดเผยว่า ทำไมเขาจึงให้การเท็จ

นายฟลินน์ยอมรับว่า เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ปี 2016 เขาไม่ได้บอกกับทูตรัสเซียว่า ให้ระงับการตอบโต้การคว่ำบาตรรัสเซียโดยรัฐบาลนายบารัก โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อไม่ให้สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม และไม่ได้บอกกับทูตรัสเซียในวันที่ 22 ธันวาคมปี 2016 ว่า ให้ถ่วงเวลาการลงมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติหรือ UNSC เกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ชาวอิสราเอลในเขตปาเลสไตน์ นอกจากนี้ ยังให้การเท็จเรื่องรัฐบาลตุรกีเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการที่บริษัทด้านข่าวกรองของเขารับผิดชอบอยู่

อย่างไรก็ตาม ศาลระบุว่า นายฟลินน์จะไม่ถูกดำเนินคดีให้การเท็จ หลังจากไปสารภาพผิดแล้ว ซึ่งนายฟลินน์ได้กล่าวว่า เขาจะให้ความร่วมมือกับนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ อัยการพิเศษในการสอบสวนกรณีที่รัสเซียเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ

Trump Russia Probe_Rata

บริเวณหน้าศาลกรุงวอชิงตันมีคนมารวมตัวกันประท้วงนายไมเคิล ฟลินน์และรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์


แม้ทำเนียบขาวแถลงว่า การสารภาพผิดของนายฟลินน์ รวมถึงการตั้งข้อหาดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ว่า มีคนอื่นเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่นายฟลินน์ให้การว่า เขาได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ดูลแการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลของนายทรัมป์ทั้งก่อน และหลังการพูดคุยกับทูตรัสเซีย อีกทั้งได้รับคำแนะนำว่า ควรต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเวลาคุยโทรศัพท์กับทูตรัสเซีย ซึ่งขัดกับที่นายทรัมป์เคยแถลงว่า นายผลินน์ไปพบทูตรัสเซียเอง และเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของทีมงานนายทรัมป์ ดังนั้น หากนายฟลินน์มีหลักฐานบืนยันว่า เขาได้ปรึกษาทีมงานของนายทรัมป์เกี่ยวกับการพบทูตรัสเซียจริง จะทำให้มีเจ้าหน้าที่หลายคนที่ถูกสอบสวนและตั้งข้อหาไปด้วย

นายฟลินน์ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่ง เพียง 23 วันหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีกฎหมายห้ามไม่ให้พลเมืองอเมริกันที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐบาลเข้า ไปแทรกแซงกิจการต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล หรือมีรัฐบาลเข้าไปร่วมด้วย โดยช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล นายฟลินน์ยังไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งทำให้นายฟลินน์กลายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงสุดในรัฐบาลนายทรัมป์ที่ถูกดำเนินคดี