ไม่พบผลการค้นหา
ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวในการปราศรัยนโยบายประจำปีของเขาเมื่อวันอาทิตย์ (20 ส.ค.) ว่า  แผนการเปลี่ยนผ่านอำนาจให้กับผู้นำรุ่นใหม่นั้น "กลับไปสู่แนวทางเดิม" แล้ว

ทั้งนี้ ลี ในวัย 71 ปี วางแผนที่จะลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 2565 และหลีกทางให้ ลอว์เรนซ์ หว่อง วัย 50 ปี รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนปัจจุบัน เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์แทนที่เขา

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านอำนาจของลีกลับหยุดชะงักลง เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยลีกล่าวในเวลานั้นว่า เขาต้องเดินหน้านำสิงคโปร์ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้ก่อน "ตอนนี้โควิดอยู่เบื้องหลังเรา และแผนการเปลี่ยนผ่านตำแหน่งของผมก็กลับมาเป็นปกติ" ลีกล่าว

นอกจากนี้ ลีกล่าวว่าเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในพรรครัฐบาลของเขา จากกรณีชู้สาวของผู้ตำแหน่งระดับสูงทางการเมือง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งในสิงคโปร์ จะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการเปลี่ยนแปลงผู้นำตามแผนที่ได้วางเอาไว้ 

ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.ค. หน่วยงานต่อต้านการคอร์รัปชันของสิงคโปร์ ได้เปิดการสอบสวนรัฐมนตรีคนหนึ่ง และสมาชิกรัฐสภาจากพรรครัฐบาล 2 คน ซึ่งถูกบีบให้ลาออก เนื่องจากพวกเขาและเธอมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวที่ไม่เหมาะสม

"ผมขอรับรองกับคุณว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่ทำให้กำหนดการเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ล่าช้าลงไป" ลีกล่าว "เราจัดการกับพวกเขาแต่ละคนอย่างละเอียดและโปร่งใส" อย่างไรก็ดี ลีไม่ได้ระบุว่าเมื่อใด เขาจะส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับหว่อง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง 

การเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์คาดว่าจะมีขึ้นในปี 2568 ทั้งนี้ พรรคกิจประชาชน (PAP) ของลี ขึ้นครองอำนาจการปกครองสิงคโปร์ ตั้งแต่แยกตัวเป็นประเทศเอกราชในปี 2508 อย่างไรก็ดี หากหว่องเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะเป็นเพียงการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 60 ปี ที่นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลลี

ในการแถลงของลีเมื่อวันอาทิตย์ ลียังพยายามที่จะจัดการกับข้อกังวลเกี่ยวกับค่าครองชีพ การจ้างงาน และที่อยู่อาศัยมีราคาที่สูงขึ้นในสิงคโปร์ ซึ่งมีประชากร 3.5 ล้านคน และมักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก

นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ยังเตือนด้วยว่า สงครามของรัสเซียในยูเครน ภาวะโลกร้อน และความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน ได้ก่อให้ห่วงโซ่อุปทานและการผลิตอาหารที่หยุดชะงัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศการค้าขนาดเล็ก อาทิ สิงคโปร์

ลียังเตือนด้วยว่าการหยุดชะงักของการจ้างงานอาจดำเนินต่อไป และอัตราเงินเฟ้อจะยังคง "สูงกว่าที่เราคุ้นเคย" ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานประจำปีของสิงคโปร์ลดลงเหลือ 4.2% ในเดือน มิ.ย. จากอัตราก่อนหน้านี้ที่ 4.7% ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ ลียังกล่าวคาดการณ์ว่า สิงคโปร์จะได้เห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ และเขาหวังว่าสิงคโปร์จะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้


ที่มา:

https://www.dw.com/en/singapore-pm-says-succession-plan-back-on-track-despite-scandals/a-66584842?mobileApp=true&fbclid=IwAR12OyCSe36hV-sU_j8dLBxyggfUIOx51VbuFVVR-ANrBcZRVGl7UjTz3dQ