นพ.ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูฝน การเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในการอุปโภคบริโภคในช่วงแรกๆ ที่ฝนตก อาจเกิดความสกปรกและความเสี่ยงจากสารเคมีได้ง่าย โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรม การจราจรหนาแน่น หรือมีมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น PM. 2.5 ควัน หรือก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง รวมทั้งความสะอาดหลังคาที่รองรับน้ำฝน และภาชนะเก็บกักน้ำฝน
จากข้อมูลการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบริโภคครัวเรือนของกรมอนามัย พบว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาคุณภาพน้ำฝนในครัวเรือนทั่วประเทศผ่านเกณฑ์มาตรฐานน้ำบริโภค เฉลี่ยร้อยละ 23.40 ส่วนที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานพบการปนเปื้อนแบคทีเรียมากที่สุด และพบสี ความขุ่น ความเป็นกรด-ด่าง เกินเกณฑ์มาตรฐานเพียงเล็กน้อย เนื่องจากการดูแลความสะอาดของพื้นหลังคา รางรองรับน้ำฝน ภาชนะบรรจุน้ำฝนไม่ถูกหลักการสุขาภิบาลน้ำบริโภค
ทั้งนี้ การเก็บน้ำฝนไว้บริโภคหรืออุปโภคให้ปลอดภัยนั้น ควรเริ่มจากการสำรวจความพร้อมของรางรองรับน้ำฝน ทำความสะอาดเก็บกวาดสิ่งสกปรกบนหลังคา รางรองรับน้ำฝนให้เรียบร้อย
สำหรับภาชนะบรรจุน้ำฝนควรสำรวจดูความชำรุดแตกรั่ว และต้องล้างให้สะอาดทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะภายในต้องทำการฆ่าเชื้อโรคด้วยการแช่หรือฉีดพ่นน้ำคลอรีนในขั้นตอนสุดท้ายของการล้างด้วย ในการรองน้ำฝนนั้นควรปล่อยให้ฝนตกชะล้างสิ่งสกปรกในอากาศ บนหลังคาและรางรับน้ำฝนทิ้งไปสักระยะหนึ่งก่อนแล้วค่อย รองน้ำฝนใส่ภาชนะที่เตรียมไว้
เมื่อเต็มแล้วปิดฝาภาชนะให้มิดชิดโดยใช้ตาข่ายพลาสติกปิดปากภาชนะให้แน่นก่อนปิดฝาเพื่อป้องกันสัตว์หรือแมลง เช่น จิ้งจก แมลงสาบ เข้าไปอาศัย ดูแลที่ตั้งภาชนะเก็บน้ำฝนให้สะอาด ไม่เฉอะแฉะ ดูแลความสะอาดของภาชนะเก็บน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรนำสิ่งของต่างๆ ไปวางหรือกองไว้บนภาชนะเก็บน้ำฝน เพราะจะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ แมลงนำโรค
นอกจากนั้นเพื่อให้มั่นใจก่อนนำน้ำฝนมาดื่มควรนำไปต้มให้เดือดประมาณ 1 นาที เพื่อลดความเสี่ยงจากโรคระบบทางเดินอาหารที่เกิดจากน้ำเป็นสื่อ