'อั๋น - ภูวนาท คุณผลิน' นักจัดรายการวิทยุและพิธีกร ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว 'วอยซ์ ออนไลน์' ถึงอนาคตทางการเมืองว่า ตอนนี้ยังไม่สนใจการเมืองระดับชาติ เพราะยังไม่เห็นว่าด้วยระบบที่เป็นอยู่ ตัวเองเข้าไปแล้วจะสร้างความแตกต่างอะไรให้กับสังคม กลัวเข้าไปแล้วเสียความรู้สึก และหมดแรง แล้วโซซัดโซเซออกมาอย่างคนที่หมดแรงส้ินหวังกับประเทศไทยไปมากกว่านี้ แต่ยอมรับว่าสนใจการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะ กทม. เนื่องจากคิดว่าตนพอมีกำลังที่จะสร้างความแตกต่างได้
ทั้งนี้ อั๋น ได้เล่าให้ทีมข่าวฟังถึงการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดีย จนเป็นกระแสก่อนหน้านี้ว่า ยอมรับว่าตกใจ ข
"ขณะนั้นผมจัดรายการวิทยุอยู่ และมีคนส่งข่าวมาทางไลน์จำนวนมาก ซึ่งตอนแรกคิดว่าคลิปน้องพอล ลูกชายดังจนเป็นกระแส แต่พอมีเวลาเปิดอ่านก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ผมโพสต์แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในอินสตาแกรม"
ส่วนตัวมองว่าการแสดงความคิดเห็นอยู่ที่บริบทในสังคมและบทบาทของคนๆ นั้น แต่ตนอยากให้ทุกคนสามารถจะแสดงความคิดเห็นกันได้
"ประเทศเรา เป็นประเทศที่ไม่รู้ทำไม เราไม่กล้าพูดอะไรกันเต็มไปหมดเลย มีเรื่องที่เราแบบ...แกจะกล้าพูดเหรอ? หูย...ไม่เอาหรอก เดี๋ยวก็ตายหรอก ไม่เอาหรอก แกไม่กลัวเหรอ มันจะมีคำแบบนี้ ซึ่งพี่ไม่รู้ว่า เดี๋ยวๆ กลัวอะไร? พูดโกหกหรือเปล่า? พูดผิดหรือเปล่า? ควรกลัวความไม่ถูกต้อง ควรกลัวความผิด ควรกลัวที่ไม่กล้าพูดความจริง หรือควรกลัวที่จะไปพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เชื่อ อะไรแบบนั้นมากกว่า หรือว่ากลัวว่าตัวเองจะไม่มีเสียงที่จะพูดออกมามากกว่า"
ดีเจอั๋น ระบุว่า "เรากลายเป็นว่าเรากลัวว่าพูดไปแล้วกระทบใคร เขาเสียผลประโยชน์ เขาจะมาเอาเรื่องเรา ถ้าเรากลัวแบบนั้นต้องยอมรับเลยนะว่าเราอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนพอสมควร"
ซึ่งตนคิดว่าถ้าตัวเองมั่นใจในสิ่งที่จะพูด ควรที่จะสามารถพูดได้ แต่ก็จะมีวิธีการกลั่นกรองตามมาตรฐาน เช่น เวลาจะพูดต้องแน่ใจว่าไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายใคร ไม่ได้พูดไปแล้วเป็น Hate speech (เนื้อหาสร้างความเกลียดชัง) หรือไม่ได้พูดไปด้วยความเกลียดใครแบบจำเพาะเจาะจง สิ่งที่ตนเน้นมากคือต้องสุภาพ ถ้าจะเห็นต่างก็ได้แต่ต้องสุภาพ และถ้าผิดก็ต้องขอโทษ เพราะเชื่อว่าคนเราผิดกันได้ สักวันก็ต้องผิด สิ่งที่เคยพูดไว้วันนี้ สักวันอาจจะย้อนแย้งกับคำพูดตัวเองในอดีต เพราะเมื่อเราโตขึ้น มุมมองจะเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยน บริบทเปลี่ยน หรือคนๆ เดิมที่เราเคยมองเขาอย่างหนึ่ง มาวันนี้เปลี่ยนไป สิ่งที่เราเคยพูดถูกเอามาอ้างอิงถึงเขาอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพูดใหม่
ขณะที่แฟนคลับบางคน ก็รู้สึกกับเรื่องนี้ ถึงขนาดส่งข้อความมาส่วนตัวว่า อย่าพูดการเมืองเลย อยากดูภาพครอบครัวและน้องพอลมากกว่า ตนก็เข้าใจเหมือนคนเปิดดู HBO เพราะอยากดูหนังไม่อยากดูข่าวการเมือง แต่ตนก็ยังยืนยันว่าพูดเหมือนเดิม แต่จะคิดถึงแฟนคลับเหล่านั้นด้วย ทำให้เราทบทวน ตรวจสิ่งที่พูด ว่าแก่น ทัศนคติ และคำถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่ตนแสดงความเห็นไปแล้วผิดก็มาเตือนกันได้ ถ้าตนเห็นในสิ่งที่แตกต่างและเห็นว่าผิดจริงก็จะขอโทษแน่นอน
เมื่อถามว่ากลัวไหมว่าลูกค้าจะไม่จ้างงาน อั๋นตอบว่าไม่กลัว แต่ไม่ใช่แคร์ไม่ใช่ ต้องดูว่ามันสมควรหรือไม่ ถ้ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่กลัวเสียงานจนไม่กล้าพูด ตนคิดว่าไม่ใช่ขนาดนั้น เช่น ถ้าเป็นพรีเซนเตอร์และมีสัญญาว่าห้ามทำอะไรบ้าง มันจะเตือนสติเรา ให้ยั้งคิดว่ายังอยากจะพูดอยู่ไหม ถ้าใช่ตนก็พูด แต่ยืนยันว่าที่พูดไป ไม่ได้ตั้งใจเพื่อที่จะสร้างตัวตน แต่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ หรือเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ หรือกระทุ้งให้คนได้ตื่นและคิด
"ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีพรีเซนเตอร์ปีละ 10 ตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าจะมีพรีเซนเตอร์คนที่จะเลือก ภูวนาท คุณผลิน เป็น Spoke Person พี่ว่าเขาน่าจะเลือกที่ Content ของพี่ มากกว่าหน้าตาพี่ เพราะฉะนั้นเราก็เป็นตัวแทนของบางสิ่งบางอย่างที่เป็นตัวเรา ก็คงจะเหมาะกับงานบางอย่าง สินค้าบางอย่าง บางประเภทอยู่แล้ว พี่เชื่อว่า ถ้าเราไม่ Stand up for something You ก็จะ Become Nothing"
อั๋น ชี้แจงว่า ทุกครั้งที่จะพูด จะขึ้นต้นด้วย “ในมุมมองของผม...” แปลว่าในมุมมองของคุณแตกต่างกันได้ และถ้าใครมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็สามารถมาเล่าให้ฟังได้ เพราะอยากได้ความเห็นที่แตกต่าง มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แต่ต้องสุภาพ ไม่ใช่ความคิดเห็นที่ไม่เคลื่อนที่ไปไหน หรือไม่ประเทืองความรู้อะไร เช่น "ไอ้สลิ่ม เสื้อแดง นกหวีด" คำพูดเหล่านี้มันไม่ได้เปลี่ยนอะไร ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ถ้าเข้ามาแสดงความคิดเห็นในมุมตรงข้าม ตนจะชอบและสนุกมาก แต่ต้องเตือนตัวเองเสมอว่าไม่ใช่คุยแล้วพยายามจะเอาชนะ เพราะไม่มีใครชนะ มันเป็นเรื่องของภาพรวม ชนะต้องชนะด้วยกัน แพ้ก็แพ้ด้วยกัน
ส่วนความคิดบางประเภทที่ไม่ได้เปิดเผย เพราะคิดว่าเปิดเผยมาก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ เช่น เลือกใครในวันเลือกตั้ง เพราะเดี๋ยวก็จะถูกเอาไปโยงว่าเคยอยู่พรรคนั้น เคยถ่ายรูปกับคนนี้ ซึ่งตนคิดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะความจริงครอบครัวตัวเองเลี้ยงมาแบบเปิดใจรับฟังความแตกต่าง และตนเองกับภรรยาก็ยังมีความเห็นที่ต่างกัน แต่คุยกันด้วยเหตุผล จะเลือกใครในวันเลือกตั้งก็ไม่สำคัญ ใครแพ้ชนะตนรับได้ แต่อย่างน้อยที่สุดคือต้องยืนอยู่ในจุดเดียวกัน คือ ถูกต้อง ยุติธรรม แกนหลักต้องไม่เพี้ยนหรือบิดเบี้ยว
แม้ว่าเพื่อนร่วมงาน หรือศิลปินบางคน จะแสดงความเห็นที่แตกต่างมากทางการเมือง ตนก็ไม่เคยรู้สึกมีปัญหา และตนคิดว่าเพื่อนในวงการบางคนที่โพสต์แล้วถูกวิจารณ์หนักมาก ตนคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้สุดโต่งทางความคิดขนาดนั้น แต่อาจจะโดนยัดเยียดผ่านโลกออนไลน์ ส่วนตัวยังชื่นชมเขาที่กล้าออกมาพูด แม้รู้ว่าจะโดนอะไร แต่ยังซื่อสัตย์กับสิ่งที่เชื่อ แต่ที่หลายคนโดนถล่มด่า เพราะการแสดงความคิดเห็นบางอย่างของเขา มันมีการชี้นำอยู่สูง มีการตัดสินถูกผิดไปแล้วว่า ผิดแน่ๆ หรือมีคำที่รุนแรงอยู่ เช่น มันเลว มันโง่ มันผิด มันไม่ใช่ มันเห็นแก่ตัว มันโกงชาติ หรือได้พิพากษาใครบางคนไปแล้ว ก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนคิดต่างขั้นสุดมาแสดงความคิดเห็น ในทางกลับกันตนคิดว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามโพสต์ ไม่ว่าจะแรงไม่แรงแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าอยู่บนพื้นฐานของความสุภาพ แล้วทำให้เกิดบทสนทนาของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ ตนว่าดีทั้งหมด
อั๋น เล่าต่อว่า ตนเคยดูถูกอาชีพดีเจ เพราะช่วงวัยหนึ่งเคยคิดว่าเป็นหน้าที่ที่แค่เปิดเพลง ไม่มีสาระ แต่วันนี้ ตนรู้แล้วว่าตนมีไมโครโฟนอยู่ที่หน้าปากทุกวัน ต้องไม่ใช่แค่พูดชื่อเพลง แต่จะพูดอะไร ที่สร้างความต่างให้กับสังคม ตัวเอง และชีวิตของทุกคน เช่นเดียวกันทุกวันนี้ ในโลกโซเชียล ทุกคนมีไมโครโฟนของตัวเอง เป็นสื่อกันได้ทุกคน ถ้าเลือกที่จะตั้งใจสื่อสารมันอย่างสร้างสรรค์ ตนเชื่อว่าเราสามารถส่งผลกระทบต่อทุกคนในทางบวกอย่างน้อยก็คนรอบข้างตัวเอง
อย่างไรก็ตาม อั๋น แสดงความคิดเห็นว่า ยุคนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การตัดต่อวาทกรรม เพราะเป็นการชี้นำที่ผิดพลาดมากๆ เช่น ข่าวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ หลายอันที่เขาพูด เราเห็นด้วย แต่มีบางอันที่เรารู้สึกว่าขนาดนั้นเลยเหรอ ตนก็จะเลิกอ่านแล้วไปค้นหาข้อมูล ฟังสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดก่อน ว่าเขาพูดว่าอะไร ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นคนละเรื่องเกือบ 100% กับสิ่งที่อ่าน
"ไม่ได้แปลว่าบิดเบือนนะ แต่เอามาไม่ครบ เมื่อเอามาไม่ครบ ตอนจบไม่อวสานนะ"
ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องน่ากลัวมาก หนึ่งคือต้องฝากสื่อ สองคือต้องฝากคนอ่านว่าต้องรู้เท่าทัน แต่หลายคนก็ไม่ได้ไม่รู้เท่าทัน แต่หลายคนรู้สึกถูกใจ เพราะบังเอิญมันสอดคล้องกับทัศนคติที่อยากจะเชื่อ และอยากให้ทุกคนเชื่อ ตั้งใจหลับหูหลับตาแชร์ ซึ่งตนเห้นว่าเราต้องรู้ตัวเราเองว่าเราหลอกตัวเองหรือเปล่า เราเป็นคนแบ��นั้นหรือเปล่า ถ้ารู้เราต้องไม่ยอมเป็นแบบนั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง