‘ไคลีย์ เจนเนอร์’ เซเลบริตี้อเมริกัน วัย 22 ปี สมาชิกครอบครัว 'คาร์แดเชียน-เจนเนอร์' ซึ่งเป็นที่รู้จักจากรายการเรียลลิตี้โชว์ในสหรัฐฯ ถูกนิตยสารฟอร์บสถอดชื่อจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีอเมริกันเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า เจนเนอร์พัวพันกับการโกหกตัวเลขผลประกอบการทางธุรกิจ โดยตกแต่งบัญชีให้ดูว่ามีรายได้สูงเกินจริง
บทความของฟอร์บสระบุว่า ผลประกอบการที่แท้จริงของกิจการเครื่องสำอางแบรนด์ ‘ไคลีย์ คอสเมติก’ ที่เปิดตัวช่วงปี 2558-2559 ไม่ได้สูงเท่ากับตัวเลขที่เจนเนอร์เคยเผยกับฟอร์บสและสื่อด้านธุรกิจอื่นๆ พร้อมระบุว่า เธอและครอบครัวพยายามหลายครั้งที่จะเชิญฟอร์บสและสื่ออื่นๆ ไปชมกิจการเครื่องสำอางของตัวเอง ทั้งยังประกาศรายได้หลักร้อยล้านตั้งแต่เปิดกิจการปีแรก จนกระทั่งเธอติดกลุ่ม 60 อันดับ 'ผู้หญิงที่รวยที่สุดในสหรัฐอเมริกาด้วยตัวเอง' ของนิตยสารฟอร์บสเมื่อปี 2561
เจนเนอร์ระบุว่ารายได้หลักของเธอมาจากแบรนด์เครื่องสำอางซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ และเธอมักจะโฆษณาสินค้าผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวที่มีผู้ติดตามมากกว่า 33 ล้านคนทั่วโลก แต่หลังจากฟอร์บสเผยแพร่นิตยสารที่เจนเนอร์ขึ้นปก ทั้งยังได้รับการจัดอันดับในรายชื่อมหาเศรษฐี ทำให้นักวิเคราะห์หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า การประสบความสำเร็จระดับนั้นในเวลาเพียงไม่กี่ปีนั้น 'ไม่น่าเป็นไปได้'
ไม่นานหลังจากที่เจนเนอร์ได้ขึ้นปกฟอร์บสในฐานะ 'มหาเศรษฐี' ก็นำไปสู่การตกลงซื้อขายหุ้นของแบรนด์ไคลีย์ คอสเมติก ให้กับบริษัท 'โคตี้' ธุรกิจเครื่องสำอางเก่าแก่ที่ก่อตั้งมานานกว่า 100 ปี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ก และเป็นเจ้าของเครื่องสำอางหลายแบรนด์
กองบรรณาธิการของฟอร์บสเริ่มเก็บข้อมูลเพื่อทบทวนตัวเลขและประเมินรายได้รวมของเจนเนอร์อีกครั้ง หลังจากที่โคตี้ทุ่มเงิน 600 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ซื้อหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ของแบรนด์ไคลีย์ คอสเมติก เมื่อเดือน พ.ย.2562
นักวิเคราะห์ด้านการเงินบางรายมองว่า โคตี้ทุ่มเงินมากเกินไปสำหรับกิจการที่ดูจะอาศัยความวูบวาบและแฟชั่นที่มาเร็วไปเร็วเป็นจุดขาย และไม่อาจแน่ใจได้ว่าเจนเนอร์จะยังทุ่มเทให้กับแบรนด์เหมือนเดิมหรือไม่ เพราะเธอไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแบรนด์อีกต่อไป แต่ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แทน
นอกจากนี้ การซื้อหุ้นไคลีย์ คอสเมติก ผนวกกับสถานการณ์ย่ำแย่ด้านเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลให้หุ้นของโคตี้ตกลงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ในเวลาต่อมา ฟอร์บสจึงรวบรวมข้อมูลและประเมินรายได้ของเจนเนอร์อีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจถอดชื่อของเจนเนอร์ออกจากการจัดอันดับมหาเศรษฐีหญิงอเมริกันอย่างเป็นทางการ
บทความของฟอร์บส ระบุว่า ธุรกิจของเจนเนอร์เปรียบได้กับวงการมายาที่จำเป็นจะต้องสร้างภาพให้ยิ่งใหญ่กว่าตัวจริงเสมอ พร้อมระบุว่า กิจการของไคลีย์ คอสเมติก ถูกตกแต่งบัญชีให้สามารถเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับเจนเนอร์และครอบครัว
อย่างไรก็ตาม เจนเนอร์ได้ทวีตข้อความตอบโต้ฟอร์บส โดยระบุว่า เธอไม่เคยสนใจการจัดอันดับ และไม่เคยสร้างเรื่องโกหกเพื่อให้ตัวเองได้รับการยอมรับ ทั้งยังระบุด้วยว่า เนื้อหาในบทความของฟอร์บสเป็นการกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง และเธอเคยคิดว่าฟอร์บสเป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ
what am i even waking up to. i thought this was a reputable site.. all i see are a number of inaccurate statements and unproven assumptions lol. i’ve never asked for any title or tried to lie my way there EVER. period
— Kylie Jenner (@KylieJenner) May 29, 2020
ส่วน 'ไมเคิล คัมป์' ทนายความของเจนเนอร์ได้แจ้งฟอร์บสให้ถอดบทความดังกล่าวของจากเว็บไซต์และสื่ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยระบุว่า ข้อกล่าวหาที่มีต่อเจนเนอร์เป็นข้อมูลเท็จ พร้อมระบุว่า ฟอร์บสประเมินรายได้ของแบรนด์ไคลีย์ คอสเมติก ผิดพลาด เพราะอิงกับข้อมูลช่วงไวรัสระบาด แต่ 'แมททิว ฮัตชิสัน' โฆษกของฟอร์บส แถลงผ่านสื่อ ยืนยันว่า บทความได้รับการพิจารณาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ก่อนจะเผยแพร่สู่สาธารณะ
ฮัตชิสันกล่าวว่า บทความเกี่ยวกับกิจการของเจนเนอร์เป็นการรายงานเชิงสืบสวนสอบสวนที่เกิดขึ้นหลังจากผู้สื่อข่าวได้รับข้อมูลผลประกอบการจากผู้ถือหุ้น รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง พบว่าข้อมูลที่ชี้แจงผ่านสื่อกับที่แจ้งผู้ถือหุ้นนั้น 'คลาดเคลื่อน' จึงเก็บข้อมูลและสอบสวนเพิ่มเติมอีกหลายเดือน จึงขอแนะนำให้ทนายของเจนเนอร์ "กลับไปอ่านบทความอีกครั้งหนึ่ง"
ขณะที่สื่อ OK ของอังกฤษ อ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ แจน ฮันซลิก ทนายความที่เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมการเงิน ระบุว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้องเริ่มเก็บข้อมูลว่าธุรกิจของเจนเนอร์มีการตกแต่งบัญชีจริงหรือไม่ ถ้าพบว่ามีมูล ก็จะต้องเปิดการสืบสวนสอบสวนอย่างเป็นทางการ หากพบหลักฐานยืนยันว่ากระทำผิดจริง ก็อาจถูกตั้งข้อหาทั้งทางแพ่งและอาญา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: