สำนักข่าว BBC รายงานอ้างอิงตัวเลขการประเมินล่าสุดจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งคาดการณ์ว่าประเทศเวียดนามอาจเป็นเพียงชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้เห็นตัวเลขทางเศรษฐกิจเติบโตในปีนี้ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่กำลังดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจหรือโรคระบาด โดยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือ GDP เวียดนามของปี 2563 อาจโตสูงถึง 2.4%
IMF ชี้ว่า ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากมาตรการของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความสมดุลระหว่างการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจและสาธารณสุข ทำให้จนถึงปัจจุบัน ตัวเลขสะสมของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในเวียดนามมีเพียงแค่ 1,288 คน และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ไปเพียงแค่ 35 รายเท่านั้น
IMF คาดการณ์เพิ่มเติมว่าในปี 2564 เศรษฐกิจของเวียดนามจะฟื้นตัวเร็วมาก และอาจโตได้สูงสุดถึง 6.5%
แม้ในความเป็นจริงเวียดนามจะยังคงขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานทางสาธารณสุขอยู่มากเมื่อเทียบกับประเทศร่ำรวยทั่วโลก แต่สถานการณ์ปัจจุบันคือเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามาตรการของรัฐบาลเวียดนามนั้นมีประสิทธิภาพจริง และได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก รัฐบาลทำงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถพัฒนาอุปกรณ์ตรวจเชื้อได้อย่างทันท่วงที บวกกับการติดตามเส้นทางการแพร่เชื้อในช่วงแรกอย่างจริงจัง ส่งผลให้การระบาดของโควิด-19 ในเวียดนามอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าปี 2563 เวียดนามต้องเผชิญกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟูก็ต้องเผชิญกับหายนะ อย่างไรก็ตาม เวียดนามสามารถบรรเทาความรุนแรงของผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโรคระบาดครั้งใหญ่ได้อย่างน่าทึ่ง และ ทำให้สถานการณ์ไม่ดำเนินไปสู่จุดที่เลวร้ายที่สุดเหมือนกับที่หลายประเทศต้องเผชิญ
การระบาดของโควิด-19 ยังสร้างผลประโยชน์มหาศาลให้กับเวียดนาม ไมเคิล โคคาลารี นักเศรษฐศาสตร์จาก Vinacapital บริษัทด้านการลงทุนที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เวียดนามระบุว่า การที่ทั่วโลกหันมาใช้วิธีการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ผู้บริโภคมากมายตัดสินใจซื้อสินค้าอำนวยความสะดวกเพื่อให้การทำงานที่บ้านนั้นสะดวกและเหมาะสมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงคอมพิวเตอร์แลบท็อบ ซึ่งสินค้าเหล่านี้จำนวนมากมีฐานการผลิตจากประเทศเวียดนาม ส่งผลให้ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการส่งออกเวียดนามยังคงสามารถเติบโตต่อได้แม้ยามวิกฤต
นอกจากนั้น ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการผลิตเวียดนามเติบโตอย่างมาก เมื่อหลายประเทศเปลี่ยนตัวเลือกฐานการผลิตหลักจากจีนแผ่นดินใหญ่มาเป็นเวียดนามแทน บวกกับสถานการณ์ "สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ" ที่สร้างผลกระทบมากมายด้านภาษีการนำเข้า ทำให้หลายบริษัทหันมาเลือกเวียดนามเป็นฐานการผลิตใหม่และเป็นศูนย์การทำธุรกิจแทน ไม่เว้นแม้แต่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple และ Samsung
สำนักข่าว รอยเตอร์ รายงานว่า รัฐบาลเวียดนามเปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่จากไต้หวันอย่าง Foxconn ได้เริ่มต้นกระบวนการผลิตชิ้นส่วนที่เป็นหน้าจอดิสเพลย์ล็อตแรกเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีมูลค่ามากถึง 26 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 788 ล้านบาท
โรงงานของบริษัท Foxconn แห่งนี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดกว๋างนิญ เป็นจังหวัดริมชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเวียดนาม รัฐบาลเวียดนามชี้ว่าทางโรงงานจะสามารถผลิตหน้าจอสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ราว 20,000 ชิ้นปีเพื่อการส่งออกไปยังประเทศผู้รับซื้อ
ในอนาคตจะมีการขยายการผลิตเพิ่มเติม เพื่อนำไปสู่การเป็นศูนย์รวมการผลิตขนาดใหญ่ ตั้งเป้าจะผลิตหน้าจอและโทรทัศน์ให้ได้มากถึง 1 ล้านชิ้นต่อปี และภายในสิ้นปีหน้ามูลค่ารายรับจากสินค้าส่งออกจะแตะที่ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 7,578 ล้านบาท
ปัจจุบันเวียดนามได้ลงนามในสัญญาการค้าเสรีหลายฉบับ สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนรายใหญ่มากมายที่ต้องการเข้ามาใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตสำคัญ ซึ่งนอกจากบริษัท Samsung Electronics ที่ได้เข้ามาสร้างฐานการผลิตหลักในเวียดนามแล้ว ก็ยังมีบริษัท LG Electronics Inc อีกด้วย