การปลด 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการออก ทั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐและ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ นำมาซึ่งความไม่มั่นคงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่อย่างน้อยๆ ความสัมพันธ์ของ บิ๊กตู่ และ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะไม่เหมือนเดิมอย่างแน่นอน
เพราะต้องอย่าลืมว่า ร.อ.ธรรมนัส ก็ดี นฤมล ก็ดี ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด “บิ๊กป้อม” กว่าใครๆ ทั้ง 2 คน ถือได้ว่าเป็นไม้เป็นมือของ พล.อ.ประวิตร เรื่อยมาตั้งแต่ตั้งรัฐบาล
ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ ใครจะเข้าพบ “พล.อ.ประวิตร” ต้องผ่านการสแกนจาก “นฤมล” ก่อน ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกที่ “นฤมล” จะได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งเข้าสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัวเมื่อก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐในปี 2561
การที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ไล่ 'ธรรมนัส' และ 'นฤมล' จึงเป็นการทำร้ายจิตใจพี่ใหญ่ 3 ป. อย่างรุนแรง เพราะ พล.อ.ประวิตร แม้ในฐานะหนึ่งจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีคู่กาย พล.อ.ประยุทธ์ ทว่าอีกสถานะหนึ่ง ก็ต้องดูแล ส.ส.และสมาชิกพรรคในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
และมันเป็นธรรมดาสามัญที่คนอย่างธรรมนัส ซึ่งมีสถานะเป็นถึงเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จะอยากนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการฯ เพราะตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยนั้นดูไม่สมฐานะเลขาธิการพรรคแกนนำรัฐบาลเท่าไหร่นัก
แต่การไล่เลขาธิการพรรคอย่าง “ธรรมนัส” และ เหรัญญิกอย่าง “นฤมล” จึงเท่ากับการไม่ไว้หน้าของ “บิ๊กป้อม” ซึ่งเป็นหน้าพรรคด้วย
สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส หลังพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี มีความพยายามตั้งหน้าตั้งตา เดินเกมโดยการตั้งพรรคการเมืองการใหม่ พกความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ส.ส.หลายคนในพรรคพลังประชารัฐ และนอกพรรคพลังประชารัฐ ให้การสนับสนุนอยู่
โดยก่อนหน้านี้สองมือประสานอย่าง “ธรรมนัส” และ วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล สะสมขุมกำลัง ทำพื้นที่เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งไว้แล้ว ทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน คนมีพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อถึงเวลา จนมั่นใจว่า พรรคพลังประชารัฐ จะชนะการเลือกตั้งได้ด้วยบัตร 2 ใบ
แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน สิ่งที่ “บิ๊กป้อม” เป็นกังวลมากที่สุดก็คือการที่ ร.อ.ธรรมนัส จะออกไปจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วใช้ขุมกำลังที่เตรียมไว้นั้น เสริมเข้ากับพรรคการเมืองใหม่ของ ร.อ.ธรรมนัส และสู้กับพรรคพลังประชารัฐเสียเอง
ด้วยเหตุนี้ บิ๊กป้อม จึงพยายามยื้อไว้ ไม่ให้ “ร.อ.ธรรมนัส” ออกไปพ้นพรรค มิเช่นนั้น ไม่ใช่แค่พรรคพลังประชารัฐ เท่านั้นที่จะมีปัญหา แต่รัฐบาลเองอาจอยู่ไม่ได้เหมือนกัน
โดยมองกันว่า ถ้า ร.อ.ธรรมนัส ทำพรรคการเมืองใหม่สำเร็จเมื่อใด เขาย่อมจะอยากเลือกตั้งโดยเร็ว จึงมีความเป็นไปได้ที่ ร.อ.ธรรมนัส จะบีบให้มีการยุบสภาและเลือกตั้งโดยเร็วเมื่อพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง
ดังนั้น สิ่งที่ พล.อ.ประวิตร จะต้องทำในเวลานี้คือการยื้อให้ ร.อ.ธรรมนัส ยังอยู่พรรคพลังประชารัฐต่อไป เพราะเมื่อไหร่ที่ ร.อ.ธรรมนัส พ้นจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เมื่อนั้น รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ มีหวังต้องยุบสภาโดยเร็ว
สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส นั้น มีต้องการให้พรรคพลังประชารัฐ มีมติขับออก เพื่อที่ตนจะได้พ้นจากการเป็นสมาชิกพรรค แต่ยังมีสถานะ ส.ส.อยู่ แต่ถ้าพรรคไม่ขับออก ร.อ.ธรรมนัส ก็ไม่มีทางออกจากพรรรคได้พร้อมกับสถานะ ส.ส. ได้ เพราะหากลาออกเอง ก็จะสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ทันที
เกมนี้จึงเปรียบได้กับ “คารม พลพรกลาง” และพรรคก้าวไกล ที่ “คารม” อยากให้พรรคก้าวไกลขับออก เพื่อที่จะย้ายไปอยู่พรรคภูมิไทย แต่พรรคก้าวไกลกลับดองไว้ ไม่ให้เข้าทางคู่แข่ง
อีกประเด็นที่ทำให้ ร.อ.ธรรมนัส เคลื่อนไหวได้อย่างไม่สะดวกสบายมากนัก
นั่นก็คือคนในก๊กของ ร.อ.ธรรมนัส หลายคนยังมีคดีเก่าค้างคา เช่น วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล มีคดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอลโรงเรียนในพื้นที่เขตการศึกษา 2 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ซึ่งอัยการได้ฤกษ์ส่งฟ้อง 14 ก.ย.นี้ , เอกราช ช่างเหลา มีคดีร่วมกันยักยอกเงิน สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูขอนแก่น เป็นต้น
ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดจะหนีไปกับ “ร.อ.ธรรมนัส” ย่อมต้องนำเรื่องนี้ขึ้นมาคิดพิจารณา เป็นลำดับแรก
นั่นเพราะใครบางคนฉลาดพอที่จะดองคดีไว้ ไม่ให้กล้าย้ายขั้วได้ในภายภาคหน้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง