ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งมี นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานฯ ได้พิจารณาเรื่องการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน จากการที่ราคาน้ำมันดิบลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค. 2561 ที่ระดับราคา 84 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จนถึงปัจจุบัน 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 18 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล โดยลดลงอย่างมากตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมาประมาณ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
โดยที่ผ่านมากระทรวงพลังงานได้กำกับทั้งอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ และค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 E10 ลดลง 2.80 บาทต่อลิตร โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 28.85 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.60 บาทต่อลิตร โดยลดลงมาอยู่ที่ระดับ 29.29 บาทต่อลิตร
ขณะเดียวกัน ได้บริหารจัดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ซึ่งได้มีการใช้ไปแล้วเมื่อตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร และก๊าซ LPG ถังละ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ซึ่งมาตรการดังกล่าวได้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ไป 11,000 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปี จากเดิมที่มี 34,500 ล้านบาท คงเหลือปัจจุบัน 23,500 ล้านบาท
ดังนั้น กบง.จึงได้มีมติวางเป้าหมายการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้น เพื่อเสริมสภาพเงินกองทุน น้ำมันฯ ชดเชยที่ใช้ไปให้เข้มแข็ง เพื่อรองรับความผันผวนของตลาดน้ำมันที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดย กบง. มีมติ ให้ปรับเพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อีก 0.50 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย. เป็นต้นไป
โดยจะทำให้อัตราเงินกองทุนน้ำมันเฉลี่ยของกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ 1.93 บาทต่อลิตร และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 0.70 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับประมาณ 100 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการสะสมเงินให้ครบ 11,000 ล้านบาท
สำหรับการเก็บ 50 สตางค์ เก็บจากทุกผลิตภัณฑ์น้ำมัน แต่จะไม่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันให้เปลี่ยนแปลงในขณะนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :