ที่สำนักงานอัยการสูงสุด จำเลยในคดีบุกการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่พัทยา เมื่อปี 2552 นำโดยนายนิสิต สินธุไพร นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายสำเริง ประจำเรือ ยื่นหนังสือกล่าวโทษถึงอัยการสูงสุดเพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฎีกา เพิ่มโทษพันตำรวจโทศราวุธ บุญชัย สารวัตรป้องกันปราบปรามสถานีตำรวจภูธรขลุง จังหวัดจันทบุรี กรณีเบิกความเท็จ โดยศาลพิพากษาให้มีความผิดในข้อหาให้การต่อพนักงานสอบสวนเท็จและเบิกความเท็จในชั้นศาล
โดยยืนยันว่าพันตำรวจเอกสมพล รัฐการณ์ อดีตผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกี่ยวข้องในคดีดังกล่าวด้วย สุดท้ายปี 2558 ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เพราะในวันนั้นพันตำรวจเอกสมพล ไปแจ้งความนาฬิกาหายที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง ไม่ได้อยู่ที่พัทยา
ส่วนพันตำรวจโทศราวุธ รับสารภาพว่ากระทำผิดจริงหลังจากศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ จำคุก 2 ปี 6 เดือน ปรับอีก อีก 12,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา
ดังนั้น นายนิสิต เห็นว่าโทษที่พันตำรวจโทศราวุธ เบิกความเท็จจนทำให้จำเลยถูกจำคุกโดยไม่ได้กระทำความผิด ยังไม่เหมาะสม
ขณะที่ นายสำเริง มองว่าเจ้าพนักงานควรได้รับโทษ หากกระทำความผิดมากกว่าประชาชน และบทลงโทษที่เหมาะสม ไม่ควรต่ำกว่า 3 ปี ไม่เช่นนั้น อาจกลายเป็นบรรทัดฐาน ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำผิดแล้วไม่ต้องรับโทษ
อ่านเพิ่มเติม