ศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกันแถลงข่าว “หนอนตัวแบนนิวกินี: แนวทางการวิจัยเพื่อให้ความรู้แก่สังคม และเพื่อการควบคุมการระบาด” เพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำโครงการวิจัยให้ความรู้และควบคุมสัตว์ต่างถิ่นรุกราน 'หนอนตัวแบนนิวกินี' แก่สังคมวิชาการและประชาชนทั่วไป
ศ. ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สกว. กล่าวถึงแนวทางการสนับสนุนทุนวิจัยพื้นฐานนำไปสู่การสร้างความรู้ที่ชัดเจน ตลอดจนการพัฒนาเป็นองค์ความรู้ในหลายมิติ เพื่อช่วยให้การควบคุมสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นรุกราน (Invasive Alien Species) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามหลักวิชาการสากล ซึ่งจากการปรึกษาหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหลายภาคส่วน ได้เล็งเห็นความจำเป็นในการสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับหนอนนิวกินี ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจที่ สกว. ได้ให้การสนับสนุน โดย สกว.ยินดีที่จะสนับสนุนการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน ควบคุม และกำจัดสิ่งมีชีวิตต่างถิ่น ซึ่งควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถตั้งโจทย์วิจัยที่ชัดเจน มีการทำวิจัยอย่างจริงจัง และสามารถนำองค์ความรู้และข้อมูลที่ถูกต้องเผยแพร่ให้แก่สาธารณชนได้รับทราบเพิ่มเติมเพื่อการป้องกัน ควบคุม และเฝ้าระวัง
“สกว.คาดหวังว่าด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งจากภาครัฐ ภาควิชาการ รวมถึงประชาชนในพื้นที่ จะทำให้สามารถผลิตองค์ความรู้และผลงานที่วิจัยที่เกี่ยวข้องกับหนอนตัวแบนนิวกินีและชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอื่น ๆ และสามารถนำผลงานดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ทั้งในด้านวิชาการ ด้านสาธารณะ ด้านนโยบาย หรือด้านอื่น ๆ โดยส่วนหนึ่งจะได้นำมาเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบในโอกาสต่อไป”
(สหรัฐฯ พบการแพร่ระบาดของหนอนตัวแบนนิวกินีเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเช่นกัน)
ขณะที่ ศ.ดร.สมศักดิ์ ปัญหา เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สกอ. และอาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวสรุปเรื่องของหนอนตัวแบนนิวกินี และผลกระทบต่อการสูญพันธุ์ของหอยทาก โดยระบุว่า หนอนตัวแบนนิวกินี (New Guinea Flatworm) หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Platydemus manokwari De Beauchamp, 1963 เป็นสัตว์ในกลุ่มเดียวกันกับหนอนตัวแบนอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่บนบก เช่น พลานาเรียบกและหนอนหัวค้อน มีการดำรงชีวิตแบบอิสระและเป็นผู้ล่าสัตว์ชนิดอื่นเป็นอาหาร มีลักษณะลำตัวแบนและเรียวยาว ปลายด้านหัวแหลมกว่าด้านท้ายลำตัว บริเวณหัวส่วนต้นพบตา 1 คู่ ลำตัวยาวประมาณ 5 เซนติเมตร กว้าง 0.5 เซนติเมตร ด้านหลังมีสีน้ำตาลเข้มถึงดำ มีเส้นกลางลำตัวสีครีมหรือเหลืองอ่อนพาดยาวตลอดลำตัว ด้านท้องมีสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน มีปากและคอหอยอยู่กลางลำตัวด้านท้อง
หนอนชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดบริเวณเกาะปาปัวตะวันตก ประเทศอินโดนีเซีย และแพร่กระจายไปตามหมู่เกาะแปซิฟิกข้างเคียง เนื่องจากพบว่าหนอนตัวแบนชนิดนี้สามารถล่าหอยทากบกเป็นอาหาร ทำให้มีการนำเข้าหนอนดังกล่าวเพื่อช่วยกำจัดหอยทากยักษ์แอฟริกา Achatina fulica ในประเทศญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ ล่าสุดหนอนชนิดนี้ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 100 ชนิดสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นรุกรานของโลก (World’s Worst Invasive Alien Species) เนื่องจากมีรายงานว่าหนอนดังกล่าวล่าหอยทากบกพื้นถิ่นเป็นอาหารด้วยเช่นเดียวกัน ทำให้จำนวนและความหลากหลายของหอยทากบกในพื้นที่นั้นลดลง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าหนอนชนิดนี้สามารถล่าไส้เดือนดิน หนอนริบบิ้น หนอนตัวแบนชนิดอื่น ๆ เหาไม้ รวมทั้งสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหน้าดินขนาดเล็กเป็นอาหารได้ ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพและความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในระยะยาว
* เร่งพิสูจน์ดีเอ็นเอ 'หนอนตัวแบนนิวกินี' ป้องกันการระบาด *
หนอนตัวแบนนิวกินีขยายพันธุ์โดยการวางถุงไข่ ภายในมีตัวอ่อน 3-9 ตัว โดยใช้เวลา 6-9 วันในการฟักจากถุงไข่ และเมื่อผ่านไป 3 สัปดาห์หนอนนิวกินีจะเจริญเป็นตัวเต็มวัยพร้อมที่จะสืบพันธุ์ได้อีกครั้ง จากรายงานพบว่าหนอนชนิดนี้มีอายุขัยได้ถึง 2 ปีในห้องปฏิบัติการ นอกจากนี้หนอนตัวแบนนิวกินียังมีกลไกการป้องกันตนเองด้วยการขาดออกเป็นท่อน ๆ เมื่อถูกรบกวน แต่ละท่อนสามารถเจริญเติบโตเป็นตัวที่สมบูรณ์ได้ภายในเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งถือเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้อีกทางหนึ่ง ปัจจุบันหนอนตัวแบนนิวกินีได้แพร่กระจายไปทั่วโลก เชื่อว่าแพร่ระบาดไปกับดินเพาะปลูกและต้นไม้ประดับต่าง ๆ โดยมีรายงานพบในสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกในรัฐฟลอริดาเมื่อปี ค.ศ. 2012 ในทวีปยุโรปพบเป็นครั้งแรกที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 2013 และพบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแรกที่ประเทศสิงคโปร์ เมื่อปี ค.ศ. 2010
เมธีวิจัยอาวุโส สกว. ระบุว่าจากสถานการณ์ของหนอนตัวแบนนิวกินีที่เริ่มมีการรายงานในประเทศไทย รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นรุกรานชนิดอื่น ๆ ที่รู้จักและรับทราบกันเป็นเวลายาวนาน เช่น หอยเชอรี่ ปลาซัคเกอร์ ต้นไมยราพยักษ์ ผักตบชวา ต้นบัวตอง เป็นต้น ทำให้การศึกษาวิจัยขั้นพื้นฐานด้านสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นรุกรานมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (introduced/alien species) ทุกชนิดไม่ได้ถือว่าเป็นชนิดที่รุกรานทั้งหมด การกำหนดว่าชนิดใดเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (invasive species) จะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น มีการระบาดหรือแพร่กระจายรวดเร็วหรือไม่ มีการเพิ่มจำนวนประชากรอย่างรวดเร็วหรือไม่ และมีผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นหรือไม่ ซึ่งองค์ความรู้เหล่านี้จะต้องมาจากการศึกษาวิจัยโดยใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง และการประเมินพื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบจะเป็นข้อมูลสำคัญที่จะนำมาใช้เป็นแนวทางการวางแผนการป้องกันในอนาคตได้
* ไทยยังไม่พบผู้ป่วยติดโรคพยาธิจากหนอนตัวแบนนิวกินี *
“การประเมินระดับความรุนแรงการรุกรานของหนอนตัวแบนนิวกินีจะต้องอาศัยการศึกษาผลกระทบต่อระบบนิเวศ และชนิดพันธุ์ของหอยทากหรือเหยื่ออื่น ๆ ในท้องถิ่นอย่างรอบด้าน และการตื่นตระหนกมากเกินไปของสังคมอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและกำจัดหนอนชนิดอื่นที่เป็นชนิดท้องถิ่น ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อระบบนิเวศแทน เช่น หนอนหัวค้อนและหนอนริบบิ้น ที่มีสีและลักษณะลำตัวที่แตกต่างกันกับหนอนตัวแบนนิวกินี แต่มีบทบาทเป็นผู้ล่าและช่วยควบคุมปริมาณของสัตว์หน้าดินให้มีปริมาณที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังเป็นอาหารของสัตว์ขนาดใหญ่ชนิดอื่น ๆ เช่น นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมฟันแทะ ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องและความตื่นตระหนกที่มากเกินไปอาจทำให้หนอนตัวแบนชนิดอื่น ๆ ในประเทศไทยถูกคุกคามเกินกว่าเหตุ และส่งผลต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในระยะยาวได้”
สกว. และศูนย์ความเป็นเลิศด้านความหลากหลายทางชีวภาพ สกอ. เห็นความสำคัญในการร่วมมือเพื่อให้เกิดการศึกษาวิจัยความรู้พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้อย่างเร่งด่วน และจัดทำประเด็นวิจัยตามแนวทางสากลในระบบนิเวศของประเทศไทยและภูมิภาค เพื่อให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่สังคมและเพื่อการควบคุมการระบาด เช่น การพิสูจน์เอกลักษณ์ของชนิดพันธุ์ด้วยวิธีการทางสัณฐานวิทยาและอณูชีววิทยา (ความสัมพันธ์ของดีเอ็นเอ) การวิเคราะห์สัตว์ที่เป็นเหยื่อของหนอน เพื่อเผยจุดแข็งจุดอ่อนของหนอนตัวแบนชนิดนี้ในด้านชีววิทยาแขนงต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมและนิเวศวิทยา เพื่อสนับสนุนแนวทางการวิเคราะห์แผนควบคุมซึ่งจะนำไปสู่การเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์แพร่กระจายในปัจจุบัน-อนาคต รวมถึงทราบทิศทางการแพร่กระจายตั้งแต่อดีต การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นและมนุษย์ การเปรียบเทียบพื้นที่การแพร่กระจายในพื้นที่ถิ่นอาศัยของมนุษย์และพื้นที่อนุรักษ์จากข้อมูลวิจัยพื้นฐานที่ดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อไป
“แนวทางปฏิบัติสำหรับประชาชนทั่วไป ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง หากต้องการกำจัดให้ใช้เกลือโรย หรือใช้น้ำร้อนเทราด ห้ามกำจัดโดยการสับหรือทุบเพราะลำตัวสามารถงอกใหม่ได้ สำหรับภาคเกษตรกรรมนั้นปัจจุบันถือว่าไม่ได้เป็นศัตรูทางการเกษตร แต่ต้องเฝ้าระวังและสำรวจบริเวณแปลงเกษตรกรรมเพื่อประเมินผลกระทบ อีกทั้งควรมีการตรวจเช็คและห่อบรรจุภัณฑ์ให้เรียบร้อยก่อนการขนส่ง” เมธีวิจัยอาวุโส สกว. กล่าวสรุป