วันที่ 10 ส.ค. 2565 ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ในการชุมนุม 10 สิงหา ประชาธิปไตยต้องไปต่อ ภายใต้การนำของสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งการชุมนุมในครั้งนี้ได้ดำเนินมากว่า 4 ชั่วโมง นับตั้งแต่เวลา 17.00 น.
สำหรับบรรยากาศในช่วงเย็น ตั้งแต่เวลา 17.30 น. มีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นปราศรัยอย่างต่อเนื่องในประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน การทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรา 112
ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย ศรีไพร นนทรีย์ ตัวแทนจากกลุ่มสหภาพแรงงานฯ กล่าวถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่า ขอให้มีกำลังใจ ต่อให้โดนจับ เราขอยืนยันว่าผู้ใช้แรงงาน เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชนขอยืนหยัดและเคียงข้างธรรมศาสตร์และการชุมนุมและองค์กรประชาธิปไตยองค์กรอื่นๆไปจนกว่าเราจะได้รับชัยชนะ
ขณะที่ ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) กล่าวถึงเรื่องการยกเลิกกฎหมาย มาตรา 112 และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงวาระครบรอบ 8 ปี การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการเลือกตั้งส.ส. ในปี 2566 ว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า จะต้องแลนด์สไลด์เพื่อไล่ พล.อ.ประยุทธ์
ด้าน ธนพัฒน์ กาเพ็ง หรือ ปูน ทะลุฟ้า ขึ้นปราศรัยและกล่าวว่า การต่อสู้ ณ ที่แห่งนี้ในวันที่ 10 ส.ค. 2563 เป็นการต่อสู้เพื่อเปิดเพดาน และชำระประวัติศาสตร์ โดยการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้โลกได้เปลี่ยนแปลงไป และทำให้คนเริ่มตั้งคำถาม ส่งผลให้คนที่โดนกดขี่กล้าจะลุกขึ้นสู้ ประชาธิปไตยทำให้พวกเราต้องออกมาตรงนี้ การต่อสู้นี้ได้ปลุกวิญญาณ ปลุกวิญญาณของประชาธิปไตย และวิญญาณของชาวนักศึกษาธรรมศาสตร์ ให้มาอยู่ที่ลานพญานาค
“แม้อาจจะเหนื่อย แม้อาจจะท้อแต่ทุกวันนี้เราก็รู้แล้วคนที่อยู่เบื้องหลังอำนาจมืดคือใคร แม้ข้อเรียกร้องจะไม่บรรลุ แต่ถามว่าคนไทยทุกคนรู้หรือไม่ว่าใครคือคนๆ นั้น พวกเราทุกคนล้วนเป็นผู้กดขี่ เราลองถามตัวเองว่าอยากจะส่งต่อมรดกอันอัปยศให้ลูกหลานเราหรือไม่" ธนพัฒน์ กล่าว
นอกจากนี้ เกียรติชัย ตั้งพรพรรณ หรือ บิ๊ก สมาชิกกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดี มาตรา 112 ทั้งสิ้น 3 คดี ร่วมขึ้นเวทีปราศรัย โดยกล่าวว่า ประวัติศาสตร์ชาติไทยในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ถูกรวมศูนย์อำนาจ และอาณานิคมภายใน อีกทั้งยังยกตัวอย่างการได้มาซึ่งผู้ว่าราชการในต่างจังหวัดว่า เป็นการแต่งตั้ง และยังกล่าวอีกว่า ตนเสมือนทาสสมัยใหม่ที่มีโซ่ตรวนคือ กำไลอีเอ็ม
เวลา 20.30 น. อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ หัวหน้าพรรคก้าวล่วง กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 2 กือบ 3 ปี ที่เราต่อสู้มา หลายคนพร่ำว่าเมื่อไหร่เราจะชนะ เมื่อไหร่ตู่จะไปเสียที ไม่เป็นไร เพราะในประวัติศาสตร์ชาติไทย ไม่มีนายกฯ คนใด และสภาของรัฐบาลใด ทำลายสถาบันได้เท่าประยุทธ์อีกแล้ว จากการออกกฎหมาย โอนย้ายกำลังพลและขยายอำนาจ
อรรถพล กล่าวอีกว่า 2 ปีที่แล้ว เราเริ่มต้นกัน วันนี้เรา เดินทางมาเกือบ 700 วัน หลายคนบอกไม่ได้อะไรเลย แต่เราได้ไปมากแล้ว เพราะสังคมนี้ไม่เคยพูดถึงความจริงได้มากขนาดนี้ มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนกระซิบเตือนมาว่า ใจเย็นๆ น้องๆ คนรุ่นใหม่ ลุงรู้ พี่รู้ ว่าพวกเราใจร้อน แต่ถ้าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ต้อง ‘เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ’ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย 2 ปีทีผ่านมาแค่เปิดเมนูให้ดูว่าเราจะกินอะไรบ้าง เพราะที่ผ่านมาเรายังไม่ได้พูดเลยว่าเราจะกินอะไร
อรรถพล เสริมว่า เมนูยกเลิก 112 เมนูรัฐธรมนูญใหม่ เมนูยุติรัฐราชการรวมศูนย์ เมนูเลือกตั้งผู้ว่าทุกจังหวัด ซื้อไม่ซื้อ สั่งไม่สั่ง ? เราเดินทุกก้าวแล้ว เพียงแต่ก้าวแรกคือก้าวล่วงเท่านั้นเอง เพราะถ้าเราไม่ก้าวให้ล่วง เราจะไปไม่ถึง อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าเส้นชัยของเราจะอยู่ตรงไหน เราชนะหลายอย่าง เพราะคนเห็นด้วยกับเรามากขึ้น หน้าที่ของเราทุกคนคือ ต้องทำให้คนเห็นด้วยกับเราเพิ่มขึ้น มีหลายอย่างที่เรายังไม่ชนะ เราไม่ได้แพ้ แค่ยังไม่ชนะ ขอแค่ชนะครั้งเดียวเราจะชนะตลอดไป
โดยช่วงท้ายของการชุมนุม กลุ่มผู้ปราศรัยได้ร่วมขึ้นมาบนเวที และอ่านข้อเรียกร้อง 3 ประการ ได้แก่
1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และองคาพยพต้องลาออก
2.ต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน
3.ต้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดระยะการชุมนุมได้มีการชูป้ายให้ยกเลิกมาตรา 112 และปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง แกนนำแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ และกล่าวว่า รู้สึกดีใจที่มีคนมารับไม้ต่อเจตนารมณ์ของตนเอง ก่อนที่จะมีการแสดงของวงสามัญชน และประกาศยุติการชุมนุมในช่วงเวลา 21.20 น.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง