กลุ่มนักกิจกรรมนำโดย น.ส. ณัฏฐา มหัทธนา นายเอกชัย หงส์กังวาน นายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ และ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย จัดแถลงข่าวที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ต่อกรณีที่นายเอกชัยและนายโชคชัย สองนักกิจกรรมที่ทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์กรณีนาฬิกาหรู ถูกเจ้าหน้าที่ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพและใช้กำลังจนได้รับบาดเจ็บ เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะออกเดินทางไปทำกิจกรรมรดน้ำดำหัว บริเวณหน้าบ้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
โดย น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา กล่าวว่าการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่มีการควบคุมตัวด้วยความรุนแรง และนายเอกชัยและนายโชคชัยยังไม่ได้กระทำความผิด หรือแสดงเจตนาที่จะกระทำผิดกฎหมาย จึงถือเป็นปฏิบัติการนอกกฎหมายที่ไม่ต่างกับพฤติกรรมของมาเฟีย ในขณะที่นักกิจกรรมทั้งสองคนกำลังทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์อย่างสันติในกรอบของกฎหมาย
แม้ที่ผ่านมาจะถูกปิดกั้นมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่กระทำรุนแรงถึงขั้นไปดักรอตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง และใช้กำลังในการอุ้มและกักขังจนนายโชคชัยได้รับบาดเจ็บ จึงน่าสงสัยในเจตนาของผู้สั่งการ ว่าการปิดกั้นการแสดงออกด้วยความรุนแรงในครั้งนี้เป็นไปเพื่อปกป้องชื่อเสียงของพล.อ.ประวิตร และเป็นการเอาใจนายจนเกินเหตุหรือไม่
นอกจากนี้ น.ส.ณัฏฐา ยังได้กล่าวตอบโต้กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า 'สิ่งที่นักกิจกรรมทั้งสองทำ เป็นการรบกวนและละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น' นั้น ถือเป็นอีกครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์และคณะขาดความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ไม่ต่างกับกรณีก่อนหน้านี้ ที่มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ชูป้ายต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งที่คณะและที่บ้าน แต่กลับออกมาพูดว่า "ไม่ได้คุกคาม"
“พล.อ.ประยุทธ์ต้องเข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญไม่ถือเป็นการป่วน และบุคคลสาธารณะอย่างทั้ง พล.อ.ประวิตร และพล.อ.ประยุทธ์เอง ย่อมต้องมีวุฒิภาวะต่อการแสดงออกอย่างสันติของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานและประเด็นทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆ” ณัฏฐา กล่าว
ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงขาดความเข้าใจในหลักสิทธิเสรีภาพและการรักษากฎหมายอย่างเป็นมืออาชีพ แต่ยังให้ท้ายต่อการละเมิดของเจ้าหน้าที่ เพื่อปิดปากประชาชนที่แสดงออกซึ่งความไม่เห็นด้วยหรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช.และคนในรัฐบาลซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ
ด้านนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ที่ถูกควบคุมตัว กล่าวว่า ระหว่างที่ตนพยายามจะขึ้นแท็กซี่ก็มีความพยายามหน่วงเหนี่ยว โดยเจ้าหน้าที่ได้กล่าวว่า “วันนี้นายสั่ง ยังไงก็ให้ไปไม่ได้” และในระหว่างที่ตนถูกเจ้าหน้าที่สี่นายกดตัวติดเบาะรถตู้ตลอดทางเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงจนได้รับบาดเจ็บนั้น มีโทรศัพท์โทรเข้ามากำชับสั่งการกับเจ้าหน้าที่ตลอด และเจ้าหน้าที่ได้แสดงหน้าจอโทรศัพท์ให้เห็นว่า ผู้ที่โทรเข้ามาคือนายตำรวจระดับรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นคนสนิทของรองนายกรัฐมนตรี ส่วนอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้น คือ มีอาการเจ็บหน้าอกจากการกดทับ และหูข้างซ้ายมีการได้ยินผิดปกติ ซึ่งแพทย์ได้ตรวจและวินิจฉัยว่าแก้วหูอักเสบจากการกดทับเป็นเวลานาน
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่าตนทำลายข้าวของในห้องที่ถูกกักตัวนั้น ตนยอมรับว่าหลังจากถูกทำให้เจ็บพร้อมกักขังหน่วงเหนี่ยว อีกทั้งยั่วยุให้ทำลายข้าวของได้ ตนจึงเกิดอาการบันดาลโทสะ และทำให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในห้องที่ใช้กักขังตนจริง และพร้อมรับผิดชอบความเสียหายต่อทรัพย์สินหากเจ้าหน้าที่จะเอาผิด แต่อยากถามกลับว่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้สั่งการ พร้อมรับผิดชอบต่อการกระทำผิดกฎหมายหลายข้อและความรุนแรงที่ได้กระทำต่อตนตลอดเช้าวันนั้นหรือไม่
นายเอกชัย หงส์กังวาน กล่าวเสริมว่า ตามที่ได้ประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กไปเมื่อวันที่ 15 เมษายน ตนตั้งใจเดินทางไปที่บ้านพักของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อร่วมรดน้ำสงกรานต์ โดยกิจกรรมที่เตรียมไว้ คือ จุดธูป 36 ดอกเพื่อเป็นสิริมงคล มอบพวงมาลัยนาฬิกาให้ และสีซอให้ฟังด้วยเพลง 'ออเจ้าเอย' ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีการกระทำใดที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย สิ่งที่ตนทำก็เพื่อรักษากระแสของเรื่องนาฬิกาหรูให้ยังอยู่ในความสนใจของสื่อและคนในสังคม จนกว่า ป.ป.ช.จะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาในคดีนาฬิกาให้เป็นที่ประจักษ์
นอกจากนี้ เอกชัยยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดการจัดการกับตนและนายโชคชัยในครั้งนี้จึงเกินเลยจนถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่ยอมทำผิดกฎหมายไปได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตนเคยทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกันที่หน้าทำเนียบและหน้าบ้านพักของ พล.อ.เปรม แม้จะถูกละเมิดก็ยังไม่มีการกระทำรุนแรงเท่าครั้งนี้ที่มาดักรอถึงหน้าบ้าน และปฏิบัติต่อนายโชคชัยจนได้รับบาดเจ็บ
ขณะที่นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ในฐานะทนายความกล่าวว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ตารวจในครั้งนี้ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับเสรีภาพ และ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกับพฤติการณ์ต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการกระทำดังกล่าว คือทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และทำร้ายร่างกายโดยร่วมกันกระทำตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ดังรายละเอียดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309, 310, 157 เป็นต้น
นอกจากนี้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นไปเพื่อปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกด้วย จึงขัดกับปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และ สิทธิเสรีภาพของพลเมืองไทยตามรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ กลุ่มนักกิจกรรมได้ยื่นคำขาดว่าถ้าหากภายในวันศุกร์นี้ไม่มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงแสดงความรับผิดชอบผ่านสื่ออย่างเป็นทางการ และให้คำมั่นว่าจะหยุดละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน ผู้เสียหายทั้งสองคนจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมายในการดำเนินคดีฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการโดยตรงต่อศาลอาญา เนื่องจากไม่มีความไว้วางใจในต้นทางของกระบวนการยุติธรรมอีกต่อไป
อ่านเพิ่มเติม