เกาะเอซันเบะฮานะคิตะโคจิมะ อยู่ห่างจากชายฝั่งหมู่บ้านซารุฟุสึ จังหวัดฮอกไกโด ทางเหนือของญี่ปุ่น ประมาณ 500 เมตร และเป็น 1 ใน 158 เกาะทั่วน่านน้ำญี่ปุ่นที่รัฐบาลขึ้นทะเบียนระบุพิกัดเมื่อปี 2557 แต่เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีผู้แจ้งให้รัฐบาลท้องถิ่นทราบว่าเกาะดังกล่าว 'หายไป'
ฮิโรชิ ชิมิสุ นักเขียนวัย 47 ปี เจ้าของผลงานชื่อว่า 'ฮิโตะ-ซูกัน' ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับเกาะที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในทะเล เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นว่าเกาะเอซันเบะฮานะคิตะโคจิมะหายไป เพราะเขาเขียนหนังสือโดยอาศัยข้อมูลจากเกาะขนาดเล็กต่างๆ ที่กระจายอยู่ทั่วญี่ปุ่น และต้องการเขียนหนังสือโดยใช้เกาะแห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจ แต่เมื่อไปถึงหมู่บ้านซารุฟุสึเมื่อเดือน ก.ย. และมองจากชายฝั่งออกไปในทะเล กลับมองไม่เห็นเกาะดังกล่าว และเรือประมงในท้องถิ่นก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเกาะนี้อยู่ที่พิกัดใดกันแน่
โทโมะ ฟุจิอิ เจ้าหน้าที่อาวุโสของหน่วยลาดตระเวนชายฝั่ง เผยความเป็นไปได้ว่าเกาะเอซันเบะฮานะคิตะโคจิมะ อาจถูกพายุฝนและคลื่นในทะเลกัดเซาะไป หรือระดับน้ำทะเลอาจเพิ่มสูงท่วมเกาะ เพราะข้อมูลของหน่วยงานญี่ปุ่นบ่งชี้ว่า เกาะดังกล่าวสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1.4 เมตรเท่านั้น โดยอ้างอิงข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้เมื่อปี 2530
อย่างไรก็ตาม ฟุจิอิระบุว่า หน่วยลาดตระเวนชายฝั่งจะตามหาพิกัดที่เคยเป็นเกาะดังกล่าวและแก้ไขข้อมูลเพิ่มเติม เพราะที่ผ่านมา ญี่ปุ่นใช้เกาะเล็กเกาะน้อยต่างๆ เป็นจุดชี้วัดเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (EEZ) โดยเฉพาะในบริเวณดังกล่าวซึ่งใกล้เคียงพื้นที่พิพาททางทะเลระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย
ทั้งนี้ เกาะเอซันเบะฮานะคิตะโคจิมะ ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เพราะมีขนาดเล็ก และมีสภาพอากาศหนาวเย็น ตั้งอยู่ในน่านน้ำทะเลไม่ไกลจากหมู่เกาะคูริล ซึ่งอดีตสหภาพโซเวียตยึดไปจากญี่ปุ่นเมื่อปี 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมื่อสงครามสิ้นสุดโซเวียตก็ไม่ได้คืนให้ญี่ปุ่น และทั้งสองประเทศไม่เคยลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพร่วมกัน เพราะไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องหมู่เกาะ จนกลายเป็นพื้นที่ข้อพิพาทระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซียมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนกรณีเกาะจมหายหรือถูกพายุซัดกระหน่ำจนสูญหายไม่ได้เกิดขึ้นที่เกาะเอซันเบะฮานะคิตะโคจิมะเพียงอย่างเดียว เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เกาะอีสต์ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฮอนโนลูลูของมลรัฐฮาวายในสหรัฐฯ ประมาณ 800 กิโลเมตร ถูกคลื่นพายุซัดฝั่งกระหน่ำหายไป เป็นผลจากอิทธิพลพายุเฮอร์ริเคน 'วาลากา' ที่เคลื่อนผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งแม้เกาะอีสต์จะไม่มีผู้อยู่อาศัย แต่ก็เป็นพื้นที่สำคัญของสัตว์ทะเลที่ใช้เป็นแหล่งวางไข่
ที่มา: Asahi/ Forbes/ Guardian
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
