สำทับด้วยบทสัมภาษณ์ของนายกฯ ค่ำวานนี้ ที่ปฏิเสธถึงการลาออกอย่างชัดเจน พร้อมประกาศจะดำเนินการตามแถลงการณ์ที่ได้ร่อนไปก่อนหน้านี้ นั่นคือ ใช้กฎหมายทุกฉบับ รวมทั้ง ม.​ 112 ดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม

นายกฯ ย้ำ “ไม่เคยเห็นละเมิดสถาบัน ฯ ขนาดนี้มาก่อน มีประชาชนทนไม่ได้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และผมก็ยอมไม่ได้” 

ทว่ากระแสข่าวนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ และไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากพิจารณาถึง “ความชอบธรรม” ทางการเมืองของ “ประยุทธ์” ในเวลานี้ 

แถลงการณ์นายกรัฐมนตรีที่ร่อนออกมาวันก่อน เท่ากับเป็นการประจานตัวเองว่ามาถึงจุดเปราะบางเต็มทนในการรักษาอำนาจ 

นัยยะของแถลงการณ์อยู่ที่การประกาศจะปกป้อง “สถาบันอันเป็นที่รักยิ่ง” ด้วยการ “บังคับใช้กฎหมายทุกฉบับ ทุกมาตราที่มีอยู่” 

นัยยะของแถลงการณ์อยู่ที่การข่มขู่คุกคามประชาชน ไปพร้อม ๆ กับการส่ง “ใบอนุญาตกดปราบ” ไปยังส่วนราชการทุกแห่งให้หาทางเล่นงาน “นักศึกษา-ประชาชน” ที่ยังเดินหน้าต่อสู้ในทุกหนทุกแห่งทุกจังหวัด

การบังคับใช้กฎหมายอย่างเดือดดาล เป็นภาพสะท้อนประการหนึ่งของการหมดหนทางในการ “โน้มน้าว” ผู้ที่เห็นต่างไปจากตัวเรา หมดหนทางในการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นเหตุเป็นผล

สถานการณ์วันนี้ มาถึงจุดที่ “โฆษณาชวนเชื่อ” ชุดไหน ๆ ชุดใหม่ ๆ ก็ไม่ทำงานอีกแล้ว ซ้ำยังจะถูกตั้งคำถามกลับอย่างเป็นเหตุเป็นผล 

เพราะสำหรับม็อบปลดแอก พวกเขาเชื่อว่า ในเวลานี้ ไม่มี “เพดาน” ใดกางกั้น​เหลืออยู่แล้วในประเทศนี้ ทุกข้อเรียกร้อง ทุกความฝัน จำเป็นต้องถูกหยิบยกมาเถียงบนโต๊ะ ไม่มีซุกไว้ใต้พรมแบบที่เคยเป็นมา 

เมื่อสถานการณ์มาถึงจุดนี้ กระแสการลาออกของ “นายกรัฐมนตรี” เพื่อ “รับทั้งหมดไว้เอง” จึงมีความเป็นไปได้ แต่ก็ “ซ่อนเงื่อน” ว่าสามารถกลับมาใหม่ได้ ด้วยกลไกต่าง ๆ ที่เนติบริกรได้วางไว้ 

“ให้ประยุทธ์กลับมาใหม่ ด้วยความชอบธรรมครั้งใหม่” 

ข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก ไม่ได้พึ่งปรากฏในวันนี้ ปีนี้ แต่เป็นข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นทันทีเมื่อ ประยุทธ์และพี่น้อง 3 ป. ขึ้นเถลิงอำนาจในปี 2557 

แม้พี่น้อง 3 ป. จะถูกทำลายความชอบธรรมทางการเมืองด้วยข้อกล่าวหาอันเกี่ยวเนื่องกับการทุจริต แต่ก็รอดผ่านทุกข้อกล่าวหามาด้วยแรงหนุนนำ และแรงโอบอุ้มจากชนชั้นนำด้วยกันเอง

ผลประโยชน์ทับซ้อน กรณีโรงไฟฟ้า ที่พุ่งตรงไปยัง “บิ๊กป๊อก” ก็ดี ไล่มาจนถึง กรณีนาฬิกายืมเพื่อน ที่พุ่งตรงไปยัง “บิ๊กป้อม” ก็ดี 

ทุกข้อกล่าวหาต่างเงียบหาย ขณะที่ ปปช. มีมติไม่แตะ “บิ๊กป้อม” 

วันนี้พี่น้อง 3 ป. ขยายเครือข่ายอำนาจไปกว้างไกล เห็นได้จากการจำแนกเครือข่ายในพรรคพลังประชารัฐ

“ระบอบป่ารอยต่อ” ก็ดี หรือ “ระบอบ 3ป.” ก็ดี อยู่กับคนไทยมานับตั้งแต่ปี 2557 ในระบอบนี้ ที่ได้เห็นคือความฉ้อฉล และความพยายามในการผูกเกลียวแน้นแฟ้น ระหว่าง นายทุนและขุนศึก มุ่งเอื้อผลประโยชน์ให้กับชนชั้นนำเป็นหลัก

บาดแผลที่สั่งสมมาของพี่น้อง 3ป. ถูกเปิดปมในทั้งสภา และนอกสภา อยู่เป็นระยะ แต่พวกเขาดำรงอยู่ได้ ด้วยการโอบอุ้มของชนชั้นนำ 

แต่สถานการณ์วันนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะหากชนชั้นนำไม่ยอมตัดบางส่วน เฉือนบางอย่างออกไปบ้าง มีหวังปราสาททรายที่ก่อร่างสร้างกันมา จะทลายลงในพริบตา 

การลาออกเพื่อรับไว้ทั้งหมด จึงอีกเป็นหนึ่งทางเลือกที่ถูกวางบนโต๊ะของ นายกฯ รอสัญญาณพิเศษช่วยคลี่คลายการตัดสินใจ 

หรือหาก “บทอวสาน 3ป.” ไม่เกิดขึ้น 

สถานการณ์ในวันนี้ ก็จำต้องเดินไปถึงจุด ต้องมีฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ถึงบทอวสาน

ที่เริ่มต้นแล้ววันนี้คือการรวบรวมข้อมูลการหมิ่นเบื้องสูง เพื่อดำเนินคดีความตาม ม.112 

ฉับพลันที่นายกฯ​ เปิดทางใช้กฎหมายมาตรานี้ ในโลกทวิตเตอร์จึงเต็มไปด้วยการรณรงค์ “ยกเลิก ม.112” ในทันที 

กฎหมายมาตรานี้ มีข้อเสียอยู่ที่การตีความได้กว้างขวาง และที่ผ่านมามักถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกดปราบประชาชนที่เห็นต่าง 

หนักหนาไปกว่านั้นที่รัฐบาลอาจใคร่ครวญไม่รอบคอบ คือเป็นการดึงเอาพระมหากษัตริย์มาเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับประชาชน

ใครจะรู้ข้อเรียกร้องจากนักแต่งเพลงชื่อดังเมื่อวันก่อน จะถูกหยิบยกมาใช้จริงในวันนี้ 

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้ นายกฯ ได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงการนำกฎหมาย ม. 112 มาใช้ 

"สิ่งที่กลัวที่สุดคือการละเมิด การก้าวล่วงสถาบัน ขอร้องทุกคนด้วย ในฐานะที่เราเป็นคนไทย อย่าไปเชื่อกลุ่มที่บิดเบือน ที่สร้างความเกลียดชัง ยึดโยงโน่นนี่กันมา มันไม่มีความเป็นไปได้อยู่แล้ว"

“ทำไมมาตรา 112 ถึงไม่ถูกดำเนินคดี เพราะทรงมีพระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณ ได้กำชับมากับผมโดยตรง ตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการใช้ไหม ม.112 ก็ละเมิดกันไปเรื่อย เพราะฉะนั้นทุกคนที่อยู่ในประเทศมีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ก็ต้องช่วยกันด้วย” (คัดจาก TPBS)

ให้หลังจากบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ 5 เดือน 

ปัจจัยใดทำให้นายกรัฐมนตรี ถึงเปลี่ยนท่าที ?