ไม่พบผลการค้นหา
มหาเศรษฐีจีน 'แจ็ค หม่า' เผยว่า 'สงครามการค้า' ระหว่างสหรัฐฯ-จีน อาจยืดเยื้อเป็นทศวรรษ ทำให้ไม่สามารถสร้างงาน 1 ล้านตำแหน่งในสหรัฐฯ ได้ตามสัญญา พร้อมแนะรัฐบาลจีนมุ่งหน้าลงทุนแอฟริกา-เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อปี 2560 'แจ็ค หม่า' ประธานเครือธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่ของจีน 'อาลีบาบา' มีโอกาสได้พบกับ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่งได้ไม่นาน

ในเวลานั้น 'แจ็ค หม่า' ได้ให้คำมั่นสัญญาด้านการลงทุนกับรัฐบาลของทรัมป์ โดยตั้งเป้าว่าจะสร้างงานเพิ่ม 1 ล้านตำแหน่งในสหรัฐฯ ให้ได้ภายใน 5 ปี โดยจะส่งเสริมการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซสหรัฐฯ ผ่านเครือธุรกิจอาลีบาบา ซึ่งมีการลงทุนในหลายพื้นที่ทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานอ้างอิง 'สำนักข่าวซินหัว' สื่อของรัฐบาลจีน ซึ่งระบุว่า แจ็ค หม่า ได้แถลงข่าวเมื่อวานนี้ (19 ก.ย.) โดยยอมรับว่า คำสัญญาเรื่องการสร้างงานเพิ่มในสหรัฐฯ ไม่อาจเป็นไปได้จริงอีกต่อไป เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่รัฐบาลทรัมป์ประกาศขึ้นกำแพงภาษีสินค้าต่างๆ จากจีนช่วงต้นปี กลางปี และล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ทำให้การขยายธุรกิจและการค้าของอาลีบาบาในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบไปด้วย

แจ็ค หม่า ยังกล่าวเตือนด้วยว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มขึ้นแล้ว จะยืดเยื้อยาวนานเป็นเวลากว่าทศวรรษ เพราะระบบเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศล้วนมีขนาดใหญ่ และเกี่ยวพันกับระบบเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

นอกจากนี้ แนวทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนนั้นก็แตกต่างกัน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ทั้งสองประเทศไม่สามารถร่วมมือกันได้อย่างตลอดรอดฝั่ง โดยหม่าระบุว่า สหรัฐฯ ชอบ 'การแข่งขัน' ในขณะที่จีนชอบการผสมกลมกลืนกับประเทศที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากกว่า

แจ็ค หม่า ได้กล่าวสนับสนุนรัฐบาลจีน ซึ่งนำโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ให้เดินหน้าการค้าการลงทุนและการขยายระบบโครงสร้างสาธารณูปโภคไปยังประเทศแถบแอฟริกา เอเชีย และยุโรปต่อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับจีน และเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มจะขยายตัวได้อีก

ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบใหม่ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ทางการจีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เมื่อวานนี้เช่นกัน รวมแล้วกว่า 5 พันรายการ มูลค่ากว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: