คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย รวมถึงอดีตผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย อาทิ นายสุรชาติ เทียนทอง น.ส.ลีลาวดี วัชโรบล นายประพนธ์ เนตรรังษี เดินเยี่ยมชมตลาดค้าส่งย่านประตูน้ำ เพื่อรับฟังปัญหาและความทุกข์ยาก พบผู้ประกอบการซึ่งได้ผลกระทบอย่างหนัก ยอดขายตกลงกว่าร้อยละ 90 ขณะที่บางร้านค้าไร้ยอดเปิดบิล ผู้ค้าจึงทยอยปิดกิจการไม่สามารถแบกรับภาระหนี้สิน โดยเฉพาะต้นทุนของสินค้า และค่าเช่า กระทบแรงงานในระบบที่ทยอยตกงาน ซึ่งผลกระทบเช่นนี้อาจรักษากิจการได้อีกไม่เกินสามเดือน
ขณะที่สภาวะเศรษฐกิจสามารถสังเกตได้จากบรรยากาศที่แตกต่างไปจากในอดีต ที่จะมีพี่น้องประชาชนพ่อค้าแม่ขายมาเดินเลือกหาซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันบรรยากาศการค้า เงียบเหงาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้แต่ร้านค้าที่อยู่บริเวณริมถนน ซึ่งจะมีพ่อค้าแม่ค้าและรถรับส่งสินค้าในลักษณะค้าส่งเข้าออกเป็นประจำ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน เสียงจากผู้ประกอบการร้านค้าต่างๆ ยังระบุด้วยว่า นอกจากพื้นที่ย่านประตูน้ำซึ่งได้รับผลกระทบแล้ว ห้างสรรพสินค้าอย่างแพลตตินัม ห้างสรรพสินค้าอย่างมาบุญครอง ย่านการค้าที่สำเพ็งและเยาวราช ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน
ผู้ค้าระบุกับคุณหญิงสุดารัตน์ด้วยว่า ยอดจองสินค้าจากต่างประเทศหายไปทั้งหมด ขณะที่ยอดขายให้กับผู้ค้าในประเทศ และรับไปขายต่อแบบออนไลน์ก็ได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน พ่อค้าที่เคยรับสินค้าไปขายต่อในพื้นที่ต่างจังหวัด ลดจำนวนการสั่งลงหรือบางรายยุติการสั่งซื้อเนื่องจาก ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่าความหวังเดียวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้ คือมาตรการกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายใน โดยเฉพาะเงินกู้ของรัฐบาล ต้องเข้าไปให้ถูกที่ถูกทางยิงให้ตรงจุดให้ถูกที่ แต่เมื่อพิจารณาจากโครงการที่พ่อค้าเขียน ไม่พบว่างบจะลงมาถึงคนตัวเล็กคนรากหญ้าที่จะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ใหม่งบดังกล่าวจึงเป็นเสมือนงบที่ถูกนำมาแบ่งกันระหว่างพ่อค้าและข้าราชการ จึงขอให้เร่งแก้ไขหรือรื้อใหม่ทั้งระบบ
คุณหญิงสุดารัตน์เห็นว่างบประมาณรายจ่ายประจําปี 2563 และงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 รวมกับเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ถือเป็นเงินกู้มหาศาล หากรัฐบาลไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ภายใน 3 เดือน คนตัวเล็กตัวน้อยจะเผชิญกับวิกฤต เศรษฐกิจของประเทศที่อาจพังลงได้ ดังนั้นนายกฯต้องลงมารับฟังปัญหาเพื่อบอกว่าจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร
คุณหญิงสุดารัตน์เห็นว่าในส่วนของเงินกู้ กระตุ้นเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท เช่นแพ็คเกจการท่องเที่ยว ซึ่งกำหนดวงเงินใช้จ่ายไม่เกิน 3,000 บาท โดยรัฐจะช่วยร้อยละ 40 นั้นเป็นมาตรการที่ช่วยเหลือได้เฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น เพราะเงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้คนเลือกเข้าพักกับผู้ประกอบการรายใหญ่ จึงเห็นได้ว่ามาตรการที่รัฐออกมาในหลายมาตรการนั้น เข้าไปที่ผู้ค้ารายใหญ่ทั้งหมด
พรรคเพื่อไทยจึงเสนอว่าในการกระตุ้นการท่องเที่ยวควรจัดเป็นพื้นที่ ขณะที่การดูแล SMEs ต้องช่วยไม่ให้ผู้ประกอบการเลิกการจ้างงาน โดยเชิญชวนให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าระบบ และช่วยเหลือค่าจ้างแรงงานผ่านร้านค้าและบริการ ซึ่งจะช่วยดูแลไม่ให้ผู้ค้าเลิกจ้างงานได้ และเชื่อว่าร้านค้าต่างๆ ยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไข ส่วนการแจกคูปองกระตุ้นเศรษฐกิจขอให้แจกตรง ซึ่งมีหลากหลายแอปพลิเคชันที่ไม่มีความยุ่งยาก รวมถึงการกระตุ้นในลักษณะพื้นที่ เช่นที่ประตูน้ำ คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า จะช่วยประชาสัมพันธ์เชิญชวน ให้เกิดการซื้อในลักษณะ มหกรรมลดราคาครั้งใหญ่ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นการซื้อขาย